“เทคนิค” สร้างแรงจูงใจ เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพดี ไม่มีโรค NCD

“เทคนิค” สร้างแรงจูงใจ เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพดี ไม่มีโรค NCD

NCD โรคพฤติกรรม “เสี่ยงตายแต่ป้องกันได้” โรค NCD หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่นับวันจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ในด้านสาธารณสุข

หรือระบบสุขภาพของประเทศ พบว่า คนไทยเป็นโรค NCD ประมาณ 14 ล้านคน เสียชีวิตปีละเกือบ 300,000 คน และสถานการณ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ภาครัฐต้องเสียงบประมาณในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรค ได้แก่ 1.โรคหัวใจและหลอดเลือด 2.โรคเบาหวาน 3.โรคความดันโลหิตสูง 4.โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 5.โรคมะเร็ง มากถึง 335,359 ล้านบาท/ปี ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ จากการที่ประชากรต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ในปี 2552 พบว่า ประชากรไทยเกือบ 1 ใน 3 มีภาวะน้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน 8.5% โดยเพศชายมีสัดส่วนผู้ที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถิติการป่วยและเสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCD จะสูงมาก แต่กลุ่มโรค NCD เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงของบุคคล ซึ่งหากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ จะลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรค NCD ได้มากถึง 80% ลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งได้ 40% โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ และโรคเบาหวาน ได้ถึง 80%

โรคร้ายยังคงอยู่เพราะ 5 เรื่องที่รู้ - แค่ได้ดู ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม*

  1. สูบบุหรี่ : ยิ่งสูบยิ่งเสี่ยง การสูบบุหรี่ 1-5 มวนต่อวัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อย่างน้อย 1.5 เท่า2. รับประทานอาหาร หวาน มัน เค็ม : เป็นการบริโภคที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการรับประทานมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ3. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : คนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 40 ของโลก โดยเฉพาะเหล้ากลั่น ดื่มมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีปริมาณ 13.59 ลิตร/คน/ปี  4. ความเครียด : ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง และความเครียดจากภาวะซึมเศร้าเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 5. ขาดการออกกำลังกาย : จากการสำรวจปี 2553 จากประชากร 47.7 ล้านคน พบว่า 65.7% ของประชากร ออกกำลังกายไม่เพียงพอ

* ข้อมูลจาก แนวทางลดเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง , สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค

งานวิจัยเติมเต็มความรู้ - หนุนสร้างแรงจูงใจเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

“งานวิจัยเรื่องการประเมินการใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เขตสุขภาพที่ 2” หนึ่งในงานวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ที่ให้ความสำคัญกับการลดอัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรค NCD ตั้งแต่ต้นทางและการสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืน โดยประเมินการใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 2 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะการใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

**พื้นที่เขตสุขภาพที่ 2 ประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และมีหน่วยบริการสุขภาพ 

3 ระดับคือ โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

เทคนิค MI สร้างแรงจูงใจเปลี่ยนพฤติกรรม

การใช้เทคนิค MI (Motivational Interviewing) หรือเรียกว่าเทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เป็นเทคนิคการสนทนาสร้างแรงจูงใจ (Motivational Interviewing) คิดค้นโดย Miller & Rollick เพื่อใช้ในการบำบัดผู้ดื่มสุรา โดยเน้นการสร้างแรงจูงใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีหลักการสำคัญคือ 1. การสร้างความร่วมมือมากกว่าการเผชิญหน้าหรือเป็นคนละพวก 2. การดึงความต้องการและความตั้งใจมาจากผู้รับการปรึกษามากกว่าการแนะนำสั่งสอน 3. การสร้างความรู้สึกถึงความเป็นไปได้และทำได้ด้วยตนเอง มากกว่าการเชื่อฟังและทำตาม

โดยใช้ MI ในกลุ่มเสี่ยง จะช่วยป้องกันหรือลดอัตราการป่วยใหม่จากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และช่วยให้ควบคุมการดำเนินของโรคและลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยผลลัพธ์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มเสี่ยงดีกว่ากลุ่มป่วย และในโรคความดันโลหิตสูงดีกว่าโรคเบาหวาน

ปัญหา-อุปสรรค-การสนับสนุน 

ปัญหาการใช้เทคนิค MI ประกอบด้วย 1) บุคลากรไม่เพียงพอกับปริมาณภาระงาน 62.9%2) บุคลากรขาดทักษะการใช้เทคนิค MI 56.1%3) ผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในการใช้เทคนิค MI 46.1%4) ไม่มีงบประมาณดำเนินการ 40.9%5) ผู้บริหารไม่เห็นความสำคัญในการใช้เทคนิค MI 14.3%

ความต้องการการสนับสนุน 1) สนับสนุนบุคลากรที่ปฏิบัติงานรับผิดชอบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 66.3%   2) งบประมาณดำเนินการ 58.5%  3) นโยบายสนับสนุนการดำเนินงาน 44.0%  

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สู่การพัฒนาระบบสุขภาพ 

ผู้บริหารเขตสุขภาพที่ 2 ควรให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบการใช้เทคนิค MI ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ดังนี้   1. กำหนดเป็นนโยบายหลัก พร้อมกำหนดตัวชี้วัดในการติดตามและประเมินผลอย่างชัดเจน 2. กำหนดรูปแบบการใช้เทคนิค MI ที่ชัดเจน โดยให้บุคลากรระดับปฏิบัติมีส่วนร่วมในการออกแบบและกำหนดรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละหน่วยบริการสุขภาพ 3. ควรมีการพัฒนาทักษะการใช้ MI และจัดทำคู่มือสำหรับใช้ในการดำเนินงาน โดยออกแบบระบบและเครื่องมือต่างๆ ที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายและไม่เพิ่มภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติ 4. สนับสนุนทีมพี่เลี้ยงที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ MI เพื่อให้คำปรึกษากับผู้ปฏิบัติในพื้นที่ 5. สนับสนุนบุคลากร อาทิ การสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน ทั้งนี้เป็นไปตามความเหมาะสมหรือความเป็นไปได้ในระดับการบริหารจัดการเขตสุขภาพ

ทั้งนี้เขตสุขภาพในพื้นที่อื่นๆ สามารถนำข้อมูลจากงานวิจัยไปปรับใช้กับการดำเนินการป้องกันและดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

1) งานวิจัยการประเมินการใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เขตสุขภาพที่ 2 , สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

2) แนวทางลดเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง , สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค