วิธีคิดที่ช่วยพลิกฟื้นจากความตกต่ำไปสู่การก้าวหน้า

วิธีคิดที่ช่วยพลิกฟื้นจากความตกต่ำไปสู่การก้าวหน้า

อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ประกาศในวันเริ่มรับหน้าที่ว่า ทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องกล้าคิดด้วยตนเอง คิดอย่างเป็นอิสระ

 คิดได้โดยปราศจากความหวาดกลัว เพราะท่านเชื่อว่าการกล้าคิดโดยปราศจากความกลัวเท่านั้นที่จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ก่อนหน้ามารับหน้าที่อธิการบดีที่ไอร์แลนด์ ท่านเคยเป็นรองอธิการบดีดูแลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และศิลป์ โดยเกิดจากการที่นักศึกษาและคณาจารย์มีจิตวิญญาณแห่งการคิดสร้างสรรค์ โดยปราศจากความขลาดกลัว มหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ในเมืองที่นายกเทศมนตรีมีธรรมเนียมที่ต้องไปเยี่ยมเยียนสถาบันการศึกษาในเมืองนั้นเป็นประจำอย่างทั่วถึง เป็นเมืองที่นายกเทศมนตรีต้องผลักดันการศึกษาให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา โดยทำหน้าที่เตรียมคนให้พร้อมสำหรับสร้างการพัฒนาให้เกิดขึ้น เมืองนั้นในวันนี้กลายเป็นแหล่งรวมของกิจการที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจากบริษัทชั้นนำของโลกทางด้านดิจิทัล และเภสัชกรรม ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง จากการเก็งกำไรที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เมืองนั้นฟื้นจากการล่มจมได้เพราะให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการสร้างคนที่สามารถคิดได้ด้วยตนเอง โดยอิสระ และปราศจากความกลัวใด ๆ

ความคิดที่นำให้สามารถพลิกฟื้นตนเองจากการตกต่ำ ไปสู่การเจริญก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ท่านอธิการบดีแนะนำไว้ว่าให้เดินหน้าทำงานด้วยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ประการแรก เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ แล้ว ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่โตแค่ไหน ต้องกล้าหาญที่จะเสี่ยงที่จะคิดแก้ปัญหานั้น และต้องคิดสร้างคุณค่าใหม่ขึ้นมาได้ มากกว่าการลงทุนที่ใช้ไปในการแก้ปัญหานั้น จะพลิกฟื้นจากการตกต่ำได้ ต้องกล้าคิดที่จะแก้ปัญหา ไม่ใช่ตั้งหน้าคิดแก้ตัวไปแต่ละวัน แก้ปัญหาใช้เงินใช้ทรัพยากรไปมากแค่ไหน ต้องคิดหาหนทางให้ผลการแก้ปัญหาสร้างมูลค่าใหม่คืนมาได้มากกว่านั้น ไม่ใช่ยิ่งแก้ยิ่งเปลืองเงิน โดยรายได้นับวันยิ่งต่ำเตี้ยลงไปเรื่อย ๆ

ประการที่สอง อย่าสบายตัวอยู่กับสภาพที่เป็นอยู่ อย่าอยู่อย่างยอมจำนนว่าแค่นี้ก็ดีแล้วที่ไม่ตกต่ำไปกว่านี้ อย่าปรับตัวเข้ากับความตกต่ำที่เป็นอยู่ แต่ให้พยายามคิดแก้ไขให้หลุดรอดจากความตกต่ำนั้น จะยากเย็นแค่ไหนก็ต้องไม่หวาดกลัวว่าจะแก้ไขพลิกฟื้นไม่ได้ อย่าปรับตัวเข้ากับโลกที่ตกต่ำ แต่ให้ปรับโลกให้ดีขึ้นตามที่สมควรสำหรับตัวเรา ความตกต่ำที่ลุ่มลึกสร้างมายาที่น่าหวาดกลัวให้กับหลายคน มีเฉพาะผู้กล้าตัวจริงเท่านั้นที่จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นแค่อีกปัญหาหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเวรกรรมที่จำต้องทนกันต่อไป

ประการที่สาม อย่าหน้าบางกับความล้มเหลวในการแก้ไขความตกต่ำ อย่าอายที่จะยอมรับว่าเดินหน้าผิดทาง แต่ให้คิดว่าพลาดครั้งต่อไปต้องน้อยกว่าครั้งนี้ ยิ่งพลาดต้องยิ่งดีขึ้น ที่ใดที่ความตกต่ำรอบตัวคงอยู่ได้ ที่นั่นไม่มีคนกล้าที่จะล้มเหลวในการพลิกฟื้นความตกต่ำนั้น ท่ามกลางความตกต่ำที่ลุ่มลึก คนขลาดหวาดกลัวมักต้องการรักษาหน้าตนเอง จึงฉวยโอกาสซ้ำเติมทุกคนที่พลาดพลั้งจากความพยายามที่จะพลิกฟื้น อย่ายอมให้การถากถางของคนขลาดมาทำลายความมุมานะของเราในการพลิกฟื้นจากความตกต่ำนั้น

ประการที่สี่ อย่าเดินหน้าไปคนเดียว ให้หาพรรคพวกร่วมกันเดินหน้าช่วยกันคิดพลิกฟื้นจากความตกต่ำที่เผชิญหน้าอยู่นั้น อย่าเล่นบทพระเอก ข้าเก่งอยู่คนเดียว อย่าตั้งแง่เล็กแง่น้อยในระหว่างผู้คนที่กล้าคิดแก้ไขความตกต่ำ จะยกหินก้อนใหญ่ ใครช่วยเรายกก็ดีทั้งนั้น ท่ายกจะถูกใจเราหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ขอแค่มาช่วยกันยกหินก้อนนั้นก็พอแล้ว ความตกต่ำที่ลุ่มลึกไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได้ง่าย ๆ เรี่ยวแรงความคิดจากคนเดียวสองคนไม่พอสำหรับพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ต้องอาศัยพลังความคิดจากหลายคนมาช่วยกัน 

ดังนั้นต้องรู้จักวิธีคิดร่วมกัน รู้ว่าตรงไหนยืดหยุ่นได้อย่างไร แค่ไหน จนกระทั่งได้ความคิดที่ร่วมกันเห็นว่าคิดตามนี้แล้วน่าจะพอพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ขอให้ระวังไว้ด้วยว่าความตกต่ำที่ลุ่มลึกมักทำให้หลายคนหลงอยู่กับภาพลวงตา ความคิดที่กระจายไปคนละทางจึงเกิดขึ้นได้เสมอ ความอดทนยอมรับความคิดของคนที่จะมาช่วยพลิกฟื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการพลิกฟื้นคืนจากการตกต่ำที่ลุ่มลึก ไปสู่การก้าวหน้าได้