สภาพลเมืองเชียงใหม่: ประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้

สภาพลเมืองเชียงใหม่:  ประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ.2561 ได้มีการเปิดประชุมสภาพลเมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 1/2561 เพื่อพิจารณาประเด็นปัญหาคลองแม่ข่าเป็นประเด็นหลัก

และปัญหาอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่งทั้งจากภาคประชาชนชาวเชียงใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยชุมชนริมฝั่งคลองแม่ข่า 27 ชุมชน ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาครัฐซึ่งประกอบไปด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่คนปัจจุบันและผู้ว่าฯคนก่อนหน้า นายช่างใหญ่ฯจากสนง.ชลประทานฯ ผู้แทนคณะกรรมาธิการฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.), ผู้แทนผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่33, รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ทั้ง 3 ท่าน ฯลฯ

สภาพลเมืองคืออะไร

สภาพลเมือง (Civil Juries หรือ Citizen Juries) เป็นรูปแบบที่ใช้ในสหรัฐมาตั้งแต่ทศวรรษ 70 มีการคัดเลือกลูกขุนมาจำนวนหนึ่งเพื่อทำหน้าที่พิจารณากิจกรรมต่างๆ ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลามากน้อยแล้วแต่ภารกิจ 

สภาพลเมืองนี้จะเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ (Interest Groups) โดยคณะลูกขุน (ซึ่งของไทยเราผมใช้คำว่า “สภาพลเมือง” แทนเพื่อมิให้สับสนกับคำว่าลูกขุนในระบบศาล) จะทำหน้าที่ฟังการอภิปราย หรือการชี้แจงของฝ่ายต่างๆ รวมทั้งซักถาม และฟังเหตุผลของแต่ละฝ่าย 

เรื่องราวต่างๆ ที่จะเข้าสู่สภาพลเมืองนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะที่จะต้องร่วมกันตัดสินใจโดยใช้หลักของการมีฉันทามติร่วมกัน (concencus) แทนการโหวตเพื่อเอาแพ้เอาชนะ

สภาพลเมืองเชียงใหม่มหานคร

สภาพลเมืองเชียงใหม่มหานครได้เปิดประชุมไปแล้วหลายครั้งตั้งแต่ปี 2555 ในหลายหัวข้อ อาทิ หัวข้อที่เกี่ยวกับวาระขนส่งสาธารณะ หัวข้อ “จากคุ้มสู่คอก จากคอกสู่อะไร” ซึ่งเป็นการร่วมกันหาทางออก ในการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณให้รื้อถอนอดีตเรือนจำเชียงใหม่ที่สร้างทับเวียงแก้ว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระราชวังเดิมของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ว่ าควรจะมีทิศทางไปในแนวทางจนได้ข้อยุติในที่สุด ฯลฯ 

ล่าสุดก่อนหน้านี้ก็คือ การเปิดประชุมสภาพลเมืองสีเขียว เพื่อเรียกร้องให้กรมธนารักษ์คืนพื้นที่ที่จะสร้างบ้านพักข้าราชการกลางเมืองย่านการศึกษา ข้างโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย เพื่อมาทำเป็นสวนสาธารณะแทนจนประสบความสำเร็จ

การเปิดประชุมสภาพลเมืองเชียงใหม่มหานคร จะมีการเชิญผู้ที่มีความรู้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ โบราณคดี สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ มาให้ความรู้เกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อที่จะประชุมฯก่อนสั้นๆ แล้ว จึงเปิดให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนกัน 

หากมีประเด็นที่จะต้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิอธิบาย ก็จะมีการแทรกเป็นระยะๆ ซึ่งจะสามารถนำฉันทามติจากประชุมไปเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา ที่สำคัญคือเป็นการเปิดห้องเรียนประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง(สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่ http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1515)

ปัญหาคลองแม่ข่า

คลองแม่ข่าเป็น 1 ใน 7 ชัยมงคลของเมืองเชียงใหม่ที่มีมาตั้งแต่สมัยพญามังรายที่สร้างเมืองเชียงใหม่มา กว่า 720 ปีแล้ว แต่เพิ่งมาเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำเสียเมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมานี้เอง 

เหตุที่ปัญหาคลองแม่ข่าได้ถูกนำขึ้นมาสู่สภาพลเมืองนั้น ก็เนื่องเพราะเหตุว่าจากการที่ได้มีการเสนอให้เชียงใหม่เป็นเมืองมรดกโลก

ปี 2560 ที่ผ่านมา ผมได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊คว่า เชียงใหม่ยังเป็นมรดกโลกไม่ได้หรอก ถ้าน้ำแม่ข่ายังสกปรกหรือดำปี๋อยู่อย่างนี้ หลังจากนั้นก็มีการแสดงความคิดเห็นตามมาอย่างมากมาย และผมก็ได้ลงเรือสำรวจคลองแม่ข่า พร้อมกับชาวบ้านซึ่งพบว่า ทัศนียภาพของสองฝั่งคลองแม่ข่านั้นสวยงามมาก แต่มีข้อเสียคือการมีน้ำสกปรกเท่านั้น 

เมื่อผมได้นำรูปภาพการสำรวจฯ ลงไปโพสต์ในเฟซบุ๊คอีก ทำให้บริษัทเชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด(Chiang Mai Social Enterprise-CSE) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งโดยภาคธุรกิจของเชียงใหม่ ที่มาร่วมทุนกันโดยไม่มีการปันผลคืนผู้ถือหุ้น แต่จะนำไปลงทุนในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมแทน ซึ่งผมก็เป็นกรรมการฯ คนหนึ่ง เกิดความสนใจที่ร่วมเข้ามาแก้ปัญหาด้วย

จากการที่ผมได้สำรวจและศึกษาพบว่า ปัญหาคลองแม่ข่านั้นเกิดขึ้นเพราะการขาดการบูรณาการของภาคส่วนต่างๆ ซึ่งต่างคนต่างทำ แม้ว่าจังหวัดจะมีแผนแม่บทเป็นการเฉพาะก็ตาม

แต่ก็ติดขัดด้วยปัญหาของโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ทับซ้อนกันระว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ที่สำคัญที่สุดคือ เกือบทุกฝ่ายต่างเพ่งโทษไปที่นักธุรกิจ และชาวบ้าน 2 ฝั่งคลองว่า เป็นผู้ร้ายทำให้น้ำแม่ข่าสกปรก แต่สำหรับผมแล้วเห็นว่าทั้งภาคธุรกิจและชาวบ้าน 2 ฝั่งคลอง คือพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่จะขาดเสียมิได้ ยิ่งภาคธุรกิจและภาคพลเมืองยิ่งเข้มแข็งก็จะยิ่งทำให้ปํญหาแก้ไขได้ง่ายและเป็นระบบขึ้น

จากการประชุมฯ ที่ผ่านมาทำให้ทราบว่า ได้มีการค้นคว้าวิจัยไว้อย่างดีจากทั้งสถาบันการศึกษาทั้งจากภายใน และต่างประเทศ ส่วนราชการต่างๆ ได้ทำกิจกรรมโครงการไว้มากมาย แต่ชาวบ้านไม่ทราบ เปรียบเสมือนคนตาบอดคลำช้าง บ้างคลำงวง บ้างคลำขา บ้างคลำหาง บ้างคลำหู ฯลฯ แต่เมื่อมีการนำมาเสนอให้ทุกฝ่ายได้ทราบในการประชุมสภาพลเมืองเชียงใหม่ จึงทำให้ทราบว่าแท้ที่จริง ปัญหาคลองแม่ข่าซึ่งเปรียบเสมือน “ช้าง” นั้นเป็นอย่างไรและควรจะแก้ไขอย่างไร

ที่ประชุมได้ข้อยุติด้วยฉันทามติว่าจะมีการร่วมกันปรึกษาหารือในการไขปัญหา และการที่จะมีโครงการต่างๆ ลงมานั้น ควรที่จะมีการให้ชาวบ้านหรือประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้หรือร่วมพิจารณาด้วย บนหลักการที่ว่า “ไม่มีใครรู้ปัญหาท้องถิ่นดีกว่าคนท้องถิ่น” นั่นเอง

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นมีหลายรูปแบบ ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือโดยสภาพลเมืองก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งนอกจากประชาธิปไตยทางตรงหรือประชาธิปไตยแบบตัวแทนเท่านั้น

ความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมการเมืองการปกครองมีวิวัฒนาการผ่านการลองผิดลองถูกมาอย่างยาวนาน สภาพลเมืองเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าจะสามารถบรรเทาปัญหาความยุ่งยากทางการเมืองของไทยเราที่ผ่านมา 

แม้ว่าสภาพลเมืองอาจจะเป็นประชาธิปไตยที่กินไม่ได้ แต่ผมยืนยันว่าสภาพลเมืองเป็นประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้อย่างแน่นอนครับ