จัดพอร์ตรับไตรมาส 1 ปีจอ

จัดพอร์ตรับไตรมาส 1 ปีจอ

จัดพอร์ตรับไตรมาส 1 ปีจอ

เริ่มปีจอ 2008 มาตลาดสินทรัพย์เสี่ยงดูเหมือนจะร้อนแรงมากไม่ว่าจะเป็นหุ้น US หุ้นจีน ต่างก็ขึ้นแรงอย่างมากรวมทั้ง ทองและ น้ำมัน ซึ่งหากจัดพอร์ตลงทุนตามเราได้เคยแนะนำไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมาพอร์ตลงทุนแต่ละท่านน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่า 3-5% โดยรวมแล้วเรามาดูว่าช่วงที่เหลือของไตรมาส 1 นี้ ควรจะลงทุนอย่างไรซึ่งผมคิดว่าการจัดพอร์ตในช่วงที่เหลือนี้นักลงทุนควรจะสนใจถามตัวเองเพื่อวางแผนดังนี้

1. เงินเฟ้อจะมาไหม..?

2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นอีกไหม..?

3. ความผันผวนต่ำในตลาดหุ้นเป็นความเสี่ยงหรือโอกาสในการลงทุน..?

4. ตลาดหุ้นแพงไปหรือไม่?

ประเด็น 1. เรื่องเงินเฟ้อ การที่เศรษฐกิจโลกปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นและยังทำให้ช่วง Q1 ราคาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นไปด้วยแต่ต้องไม่ลืมว่าราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งโดยรวม KTBST คาดว่าเงินเฟ้อในปี 2561 น่าจะปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอาจจะลด QE เร็วกว่าที่คาด

ประเด็นที่ 2 คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หากเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นจะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปด้วยประกอบกับการปรับลด QE ถ้าเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นก็จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นทั่วโลก และมีผลกระทบในทางลบต่อดัชนีหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นที่มีความผันผวนสูงและตลาดหุ้นที่มีความสัมพันธ์ในชิงลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อย่างเช่นตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ประเด็นที่ 3 คือ ความเสี่ยงต่อความผันผวนในตลาดหุ้น ปัจจุบันความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำมาตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมาและคาดว่าความเสี่ยงในตลาดโลกจะไม่ลดลงมากกว่านี้ ปัจจุบันพบว่าความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง -1 ถึง -1.5 SD ซึ่งไม่มากนัก จากการข้อมูลตั้งแต่ปี 1990 -2017 พบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างน้อย 6 ไตรมาสและมากสุด 15 ไตรมาสใน ส่วนตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนต่ำอย่างน้อย 1 ไตรมาส ความผันผวนนี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลง 10.48% ดัชนีจะลดลงเฉลี่ย 13.83% ตลาดที่ได้รับผลกระทบมาสุดคือตลาดหุ้นจีนซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.55% ต่อไตรมาส ดังนั้นนักลงทุนต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการลงทุน

ประเด็นสุดท้ายคือ เรื่องตลาดหุ้นแพงหรือไม่..? จากการที่หุ้นปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นระดับที่ไม่ถูกแต่ต้องดูที่ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2018 ที่คาดว่าจะโตที่ระดับ 10% เมื่อเทียบกับปี 2017 ทำให้ราคาอาจจะยังไม่แพงมากแต่ต้องดูเป็นรายกลุ่ม ซึ่งทาง KTBST ยังชอบหุ้นกลุ่มพลังงานและค้าปลีก

ส่วนการจัดสินทรัพย์ลงทุนในช่วงที่เหลือของไตรมาส 1 ปี 2018 นั้น KTBST ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นลดลงมาอยู่ประมาณ 20-50% โดยเน้นไปที่หุ้นจีน ยุโรป อินเดีย โดยอาจรอดูจังหวะเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง และพิจารณาหลีกเลี่ยงหุ้น US และ ญี่ปุ่น ขณะที่หุ้นไทยให้น้ำหนักลงทุนในระดับกลางๆ

รองลงมาคือลงทุนใน Money Market ประมาณ 20 – 40 % เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อในสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำอาจจะมีไว้ ประมาณ 5 % รวมถึงน้ำมันประมาณ 0-2.5%  นอกจากนี้อาจหลีกเลี่ยงลงทุนในตราสารนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ และ REIT

โดยรวมแล้วต้องบอกว่าการลงทุนยังเป็นในทิศทางที่ดีนะครับแม้จะมีความผันผวนบ้างแต่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดยังคงดี บริษัทจดทะเบียนยังมีกำไรเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังต้องติดตามการลงทุนและปรับพอร์ตการลงทุนรับสถานการณ์ต่างๆอยู่เสมอนะครับ ….

ติดตามข่าวสารเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจจาก KTBST Private Wealth Management ได้ที่

www.facebook.com/ktbst.channel