ตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดใน 30 ปี

ตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดใน 30 ปี

ตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดใน 30 ปี

ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นปีใหม่นี้ด้วยการปรับขึ้นเกือบทุกวันทำการ ดัชนีหุ้นในหลายตลาด รวมทั้งไทย ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง ปริมาณการซื้อขายเกือบทุกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในไทยเอง ปริมาณการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีทีแล้ว บรรยากาศการลงทุนโดยรวมถือว่าเป็นบวกมากๆ 

แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้? ผมเชื่อว่าเกิดจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนที่มีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่ดัชนีเศรษฐกิจหลายตัวของสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ออกมาดีกว่าคาด และที่สำคัญ การฟื้นตัวรอบนี้ยังคงไม่ได้สร้างแรงกดดันกับเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าดอกเบี้ยโลก ถึงแม้จะเริ่มขยับขึ้นบ้าง จะยังคงอยู่ในระดับ “ต่ำกว่าปกติ” ไปอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งนักลงทุนยังมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารกลางของยุโรปและญี่ปุ่น จะต้องรีบร้อนลด QE ตามหลังสหรัฐฯ เม็ดเงินจึงยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องอย่างที่เราเห็น

สำหรับตลาดหุ้นไทย เราเริ่มต้นปีด้วยการทำสถิติสูงสุดใหม่ของ SET Index ถึง 5 ครั้ง ภายใน 7 วันทำการ หลังจากรอคอยกันมาถึง 24 ปี และมีแนวโน้มที่จะยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อไปอีก โดยมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การเติบโตของผลประกอบการ และการเลือกตั้ง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า SET Index มีโอกาสขึ้นไปถึง 1,900-1,950 จุดภายในปีนี้ ซึ่งอาจจะดูสูง แต่ถ้าคำนวณเป็น % การเปลี่ยนแปลงจากระดับปัจจุบัน จะอยู่แค่ 5-7% เท่านั้น และถ้าวัดด้วย Forward P/E จะอยู่ที่ 15-16 เท่า ซึ่งถือว่าไม่แพงมากเมื่อเทียบกับ P/E ของตลาดหุ้น ASEAN ด้วยกัน

แน่นอนว่าเวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆ คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ โอกาสที่หุ้นจะปรับลงแรงๆ มีมากน้อยแค่ไหน?

ก่อนตอบคำถามนี้ ผมอยากฉายภาพ “ตลาดกระทิง” รอบนี้ให้เห็นกันชัดๆ ก่อน เพราะเป็นรอบของการปรับขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกที่เกือบจะยาวนานที่สุด ถ้าเราใช้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น proxy ของตลาดหุ้นโลก ปีนี้นับเป็นปีที่ 9 ของตลาดกระทิง ที่ให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 300% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตลาดกระทิงของสหรัฐฯ มักจะมีอายุเพียง 5 ปี รอบนี้จึงถือว่าเกินเวลามาพอสมควร และที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราได้สองตัวช่วยพิเศษ คือ นโยบาย QE และ นโยบายดอกเบี้ย 0% ซึ่งทำให้เกิดสภาวะ “สภาพคล่องล้นระบบ” และตามมาด้วยการ “Search for Yields”แบบที่เราได้เห็นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ผมเชื่อว่าเราเริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดของตลาดกระทิงรอบนี้แล้ว เพราะเราเริ่มเข้าใกล้จุดจบของทั้งสองนโยบายพิเศษนี้ แต่น่าจะยังเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี ก่อนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะไปแตะจุดสูงสุดเพราะตลาดหุ้นจะยังได้รับอานิสงส์เม็ดเงินที่จะ Rotate ออกจากตลาดพันธบัตรเข้าตลาดหุ้น ผมมองว่าตลาดหุ้นจะไปถึงจุดสูงสุดเมื่อดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มขยับสู่ขาขึ้นอย่างเต็มตัว และเมื่อผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเกิน 3.5% ซึ่งเป็นระดับที่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดกระทิงรอบนี้จบเร็วขึ้นคือ เงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อมาเร็วและแรงกว่าคาด จะสร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงกว่าคาด และอาจจะต้องเร่งดึงเม็ดเงิน QE ออกจากตลาดมากและเร็วกว่าเดิม ดังนั้น นักลงทุนต้องจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อโลกอย่างใกล้ชิด

สำหรับไทย ผมมองว่าวงจรตลาดกระทิงของเราใกล้เคียงกับของต่างประเทศ แปลว่า SET Index น่าจะยังอยู่ในขาขึ้นอีกอย่างน้อย 2 ปี ในด้านความเสี่ยง นอกจากเรื่องเงินเฟ้อ อีกปัจจัยที่สำคัญคือสถานการณ์การเมือง ถ้าภายในกลางปียังไม่มีการประกาศวันเลือกตั้ง หรือมีความพยายามที่จะยืดเวลาออกไปอีก ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นจะเกิดการปรับฐานที่ค่อนข้างแรง

สรุป หุ้น ยังคงเป็น Asset Class ที่น่าลงทุนที่สุดในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้อีก โอกาสจะปรับลงแรงๆ ไม่น่ามีมาก ยกเว้น ในหุ้นบางบริษัทที่ซื้อขายกันที่ P/E สูงเกินพื้นฐานมากเกินไป