คิมพลิกเกม: ขู่มะกันด้วยปุ่มนิวเคลียร์ แต่ยื่นไมตรีให้เกาหลี
โดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศว่า All options are on the table.
วันปีใหม่นี้ คิม จองอึน สำทับว่า The nuclear button is on my desk all the time.
ทรัมป์ เตือนเกาหลีเหนือว่า ทางออกทางทหารยังเป็นทางเลือกอยู่ ดังนั้นเปียงยางอย่างได้ซ่าเป็นอันขาด
คิมบอกว่า ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถยิงถึงสหรัฐได้ทุกจุด และปุ่มกดอาวุธนิวเคลียร์อยู่บนโต๊ะของตนตลอดเวลา
“นี่เป็นความจริง มิใช่การขู่เฉย ๆ” คิมน้อยกล่าวให้คำปราศรัยเนื่องในวันปีใหม่อย่างเป็นทางการ
ฟังดูแล้วน่ากลัวว่าคิม จองอึน พร้อมจะยกระดับความตึงเครียดกับสหรัฐ ตั้งแต่วันแรกของปีใหม่
ท่ามกลางข่าวกรองหลายกระแสว่า โสมแดงอาจจะยิงขีปนาวุธลูกใหม่หลังวันที่ 1 ม.ค.2018 นี้
คิมต้องการตอกย้ำว่า บัดนี้เกาหลีเหนือได้พัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์มาถึงจุดที่เป็นมหาอำนาจทางนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องกลัวอเมริกาอีกต่อไป
ผู้นำเกาหลีเหนือบอกว่า เมื่อโสมแดงมีอาวุธนิวเคลียร์แล้ว สหรัฐก็จะไม่กล้าเปิดศึกกับเปียงยางอีกต่อไป
สอดคล้องกับ ทฤษฎี deterrence หรือหลักความเชื่อว่า หากสองประเทศมีอาวุธร้ายแรงพอๆ กันก็จะไม่เกิดสงคราม เพราะต่างคนต่างกลัวหายนะ
ทฤษฎีนี้บอกว่า หากประเทศหนึ่งมีอาวุธร้ายแรง อีกประเทศหนึ่งด้อยกว่า โอกาสจะเกิดสงครามระหว่างกันจะมีสูงกว่ าที่สองประเทศศัตรูต่างคนต่างมีอาวุธร้ายแรงพอ ๆ กัน
คำปราศรัยปีใหม่ของคิม น่าสนใจเป็นพิเศษตรงที่ ไม่เพียงแต่มีคำร้อนแรงท้าทายต่อสหรัฐเท่านั้น หากแต่ยังยื่นไมตรีต่อเกาหลีใต้อย่างน่าสนใจด้วย
อีกตอนหนึ่งของคำปราศรัยของคิมบอกว่า “ปีนี้เป็นปีที่มีความหมายพิเศษสำหรับทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เพราะจะเป็นปีเฉลิมฉลองวันครบรอง 70 ปีของการก่อตั้งเกาหลีเหนือ และจะมีการแข่งโอลิมปิกฤดูหนาวในเกาหลีใต้”
ว่าแล้วคิมก็เสริมต่อว่า
“เพื่อให้การจัดงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ในปีนี้ เราควรจะละลายผ่อนคลายความสัมพันธ์ระหว่างเหนือกับใต้ เพื่อจะได้จารึกปีนี้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติเรา”
เป็นถ้อยประโยคของการยื่นมือปรองดองกับเกาหลีใต้อย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากปากของคิมจองอึนตั้งแต่ขึ้นมาปกครองประเทศเมื่อ 6 ปีก่อน
สะท้อนชัดว่า คิมน้อยกำลังเล่นเกมการทูตระดับเทพแล้ว นั่นคือการชักชวนให้เกาหลีใต้หันมาจับมือกับเกาหลีเหนือ เพื่อเป็นก้าวแรกของการนั่งลงพูดจาหาทางออกจากวิกฤติคาบสมุทรเกาหลีฉันท์พี่ฉันน้อง ขณะที่ตะโกนขับไล่สหรัฐ ให้ออกไปจากย่านนี้
ด้านหนึ่ง คิมน้อยต้องการยืนยันว่าอย่างไรเสีย เกาหลีเหนือจะไม่มีวันล้มเลิกนโยบายพัฒนานิวเคลียร์
ไม่ว่าสหรัฐจะกดดันให้ประเทศต่างๆ ร่วมกันคว่ำบาตรเกาหลีอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจีนและรัสเซียจะพร้อมใจยกมือให้กับสหรัฐในการลงโทษเปียงยาง
ไม่ว่าเกาหลีเหนือจะต้องประสบอุปสรรคหนักหนาสากรรจ์จากแรงกดดันจากนานาชาติเพียงใด
อีกด้านหนึ่ง คิมต้องการจะส่งสัญญาณไปถึงอเมริกาว่าบัดนี้เขาบรรลุเป้าหมายในการสร้างอำนาจต่อรองกับสหรัฐ ด้วยการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาถึงจุดที่พร้อมจะต่อกรกันหมัดต่อหมัดแล้ว ดังนั้นอเมริกาจะต้องเจรจากับเกาหลีเหนือในฐานะคู่กรณีที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ยิ่งเมื่อคิมประกาศในคำปราศรัยว่า “เราจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อใครหากไม่ถูกรุกราน”
อีกทั้งยังสำทับว่า “เราจะเป็นประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์ที่รับผิดชอบ”
แสดงให้เห็นว่าบัดนี้คิมจองอึนได้แปรปรับสถานการณ์ให้ตนเล่นเกมรุกทั้งด้านทางทหารและการทูตอย่างพลิกความคาดหมาย ของชาวโลกกันเลยทีเดียว
คิมน้อยนี่ไม่ธรรมาดาจริง ๆ!