BLS พาส่อง “5ความเสี่ยง” มีผลต่อดัชนีปี 61

BLS พาส่อง “5ความเสี่ยง” มีผลต่อดัชนีปี 61

BLS พาส่อง “5ความเสี่ยง” มีผลต่อดัชนีปี 61

ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) 

ในปี 2560 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว....สูงสุดในรอบ 20 ปี โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดคงต้องยกให้ตัวเลขเศรษฐกิจประเทศไทยที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ หนุนให้กระแสเงินทุนกลับเข้ามาในช่วงเดือนธ.ค.2560า หลังไหลออกไปในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2560 ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559-2560) สถาบันในประเทศซื้อสุทธิรวมทั้งสิ้น 90,000 ล้านบาท หลังคาดการณ์ว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นในปี 2561  

ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวยังคงส่งผลดีต่อเนื่องในปี 2561 สะท้อนผ่านการวิเคราะห์ของ “หลักทัรพย์บัวหลวง” ที่ระบุชัดว่า ตัวเลข GDP อาจช่วยหนุนดัชนี และภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำจะหนุนให้ประมาณการ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนอัตราพันธบัตรกับดัชนีตลาดหุ้นไทย (equity yield gap) ปี 2561ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติจะกลับเข้ามาในปี 2561 หลังปี 2560 ไหลออกเกือบตลอดทั้งปี จากสตอรี่ดังกล่าว ดัชนีปี 2561 อาจอยู่ระดับ 1,760 จุด (เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 1,742 จุด)

ทว่าแม้จะมีข่าวดีหลากหลายประเด็นรออยู่ในปี 2561 แต่ก็มีเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน สะท้อนผ่านความเห็นของ หลักทรัพย์บัวหลวง ที่ว่า  “5 ความเสี่ยง” ที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2561 คือ ข้อแรก ตัวเลขทางเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ

ข้อสอง นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดจากธนาคารกลางสหรัฐ หลัง “เจเนท เยเลน” ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่หากตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มตึงตัว นักลงทุนสามารถสังเกตได้จากการปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าคาด เพราะอาจทำให้มีผลลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นลดลง เนื่องจากสภาพคล่องการเงินจะลดลงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

ข้อสาม ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลงต่อหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ดีในช่วงปี 2561-2562 ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบเบรนท์จะยืนระดับ 60- 65 เหรียญต่อบาร์เรล

ข้อสี่ เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่การบริโภคของคนต่างจังหวัดอาจดีขึ้นจากราคาสินค้าเกษตร และผลผลิตโดยรวมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดีจากรายงานตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย รายได้รวมของภาคการเกษตรลดลง 4% ในปีนี้

ข้อห้า ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หากภาวะความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี หรือความขัดแย้งในกลุ่มประเทศอาหรับรุนแรงขึ้น ย่อมส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนและกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2561ด้วยว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กลุ่มโรงกลั่น และธุรกิจเดินเรือ ถือเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ซึ่งกลุ่มแบงก์จะได้รับประโยชน์จากสินเชื่อรายย่อยเติบโตแข็งแกร่ง กลุ่มมีเดีย รับอานิสงส์แนวโน้มการบริโภคแข็งแกร่ง กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มเดินเรือ โดดเด่นตามฤดูกลาล ส่วนหุ้นรายตัวบริษัทที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ หุ้น RS  หุ้น WORK หุ้นJMT หุ้นCOM7 หุ้นTISCO และหุ้น KKP

ทั้งนี้ตลอดปี 2561 นักลงทุนอาจหาโอกาสในการลงทุนจากเหตุการณ์ระหว่างปีได้ด้วย เช่น การประมูลคลื่นความถี่กลุ่มโทรคมนาคม, การประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ และการเลือกตั้ง ซึ่งกลุ่มค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และยานต์ น่าจะตามอง สำหรับกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่อุปสงค์อุปทานแข็งแกร่ง เราชอบกลุ่มโรงกลั่น เม็ดพลาสติก PTA และขนส่งด้วยเรือเทกอง

“การขยายตัวของเศรษฐกิจเอเซียในปี 2561 อาจดีต่อเนื่องมาจากปี 2560 ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2561 อาจออกมาดี รวมถึงการดำเนินชีวิตของคนไทยกลับมาปกติ หลังการไว้อาลัยองค์รัชกาลที่ 9 ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้เชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 1,720 จุด ในปัจจุบัน” หลักทรัพย์บัวหลวง ยืนยัน

อย่างไรก็ดีเรามองดัชนีตลาดหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนจากนี้เพียง 2.23% ยกเว้นว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยสูงกว่าที่เราประเมินไว้ 60 เหรียญต่อบาร์เรล และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐปรับตัวขึ้นช้าน้อยกว่า 3 ครั้ง ในปี 2561 ส่งผลให้สภาพคล่องการเงินที่สูงอาจผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไปไกลสุดที่ 1,850 จุด หรือ อัพไซด์ 7.55%