ถูกธุรกิจ ถูกที่ถูกเวลา

ถูกธุรกิจ ถูกที่ถูกเวลา

องค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จที่เกริ่นไว้ในคอลัมน์ Think out of The Box เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือการอยู่ “ถูกที่”

อันหมายถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้เราเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ได้ รวมถึงมีโอกาสเติบโตด้วยเสถียรภาพที่ดีและมีเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ประการถัดมาคือ “ถูกเวลา” โดยเฉพาะสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยีที่บางครั้งมาเร็วเกินไปก็ไม่มีตลาดรองรับ หรือบางครั้งก็ล้ำสมัยเกินไปจนผู้บริโภคปรับตัวไม่ทันจึงต้องปิดตัวลงไป หรือในทางตรงกันข้ามคือมาช้าเกินไปก็ตามคู่แข่งไม่ทัน

หากพิจารณาจากปัจจัยทั้งสองนี้แล้ว ผมเชื่อว่าประเทศไทยในทุกวันนี้ล้วนอยู่ในสถานการณ์ “ถูกที่ถูกเวลา” ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีและจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะมีตัวเร่งปฏิกิริยาจากกระแสธุรกิจดิจิทัลซึ่งเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน ส่งผลทำให้ความคิดใหม่ๆ สามารถเปลี่ยนเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ทันที

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้เราจึงเห็นโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ในขณะที่หลายๆ บริษัทปรับตัวไม่ทันจึงไม่อาจทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็มีบางบริษัทโดยเฉพาะธุรกิจใหม่ๆ ก็อาศัยความคล่องตัว เกาะกระแสการเปลี่ยนแปลงสร้างความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น

ตัวแปรสุดท้ายของความสำเร็จจึงไม่ใช่อะไรอื่นไกลนอกจาก “ตัวเราเอง” ว่าเอาจริงกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึงเหล่านี้หรือไม่ เพราะในเวลานี้เราจะเห็นธุรกิจที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์แปลกๆ ใหม่ๆ จำนวนมาก แต่กลับกันมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถประสบความสำเร็จได้

สำหรับตัวแปรที่จะทำให้คนสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแปลกใหม่เหล่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังอย่างเช่น สตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จหลายๆ รายใช้คำว่า “All-in” คือเทหมดหน้าตักหากมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ กล่าวได้ว่าเป็นการทุ่มเทแบบเต็มร้อยเพื่อทำให้ธุรกิจนั้นสำเร็จได้จริงๆ ทุกวันนี้แนวคิดใหม่ๆ ในการทำธุรกิจไม่ได้แตกต่างไปจากอีกธุรกิจสักเท่าไร แค่มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกันเท่านั้น

เราจึงต้องทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่างานที่กำลังทำอยู่ในทุกวันนี้ หรือธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นนี้เหมาะสมกับตัวเราเองจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องเด็ดขาดพอที่จะเปลี่ยนเส้นทางของตัวเองและต้องหมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อแสวงหาแนวทางที่ “ใช่” สำหรับเรา

แต่ลำพังแค่ตัวเราเองที่มองเห็นความเป็นไปและปรับตัวได้แล้วก็ยังไม่พอ เพราะยังมีทีมงานที่ต้องทำงานประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเราด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้จากหลายๆ กรณีศึกษาที่ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจไม่สามารถชี้นำให้ลูกทีมก้าวไปในทิศทางเดียวกันได้ ความสำเร็จจึงไม่เกิดขึ้นเพราะแต่ละคนก็ล้วนทำงานไปคนละทิศคนละทางกัน

และที่สำคัญคือการหลงทิศ เพราะบ่อยครั้งที่เราคิดแทนลูกค้าว่าน่าจะใช้นวัตกรรมอันทันสมัยที่เราคิดค้นขึ้นไปใช้ แต่เราไม่ได้มองสิ่งที่เขากำลังขาดอยู่ หรือปัญหาที่เขากำลังพบเจออยู่ในปัจจุบัน เพราะหากเราแก้ปัญหาให้เขาได้ก็เท่ากับช่วยให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น

ธุรกิจของเราจึงต้องเป็นตัวสร้างโอกาสให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ช่วยลดปัญหาที่มีอยู่ในทุกวันนี้ หรือโอกาสในการขยายธุรกิจ ฯลฯ อย่าคิดแต่เพียงในมุมของตัวเองว่าจะเอาสินค้าและบริการที่มีไปขายให้เขาได้อย่างไร

หากทั้งหมดนี้สอดคล้องกันก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเราอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง สอดคล้องกับจุดแข็งในตัวของเรา และเราก็ยังอยู่ถูกที่ถูกเวลา คืออยู่ในประเทศที่มีเสถียรภาพพอสมควรและอยู่ในจังหวะเวลาที่ธุรกิจขยายตัวได้อย่างไร้ขีดจำกัด