โลกนี้ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย

โลกนี้ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย

เหมือนทหารที่ไปรบในสมรภูมิใหม่ คงต้องเรียนรู้และปรับตัวกัน

ตั้งแต่ต้นปี 2017 ที่ผ่านมา ผมได้เริ่มต้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จึงอยากเอาผลงานมาทบทวนสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านนะครับ

หุ้นตัวแรกที่ไปลงทุน เป็น 'หุ้นญี่ปุ่น' ทำธุรกิจร้านค้าปลีกชื่อดัง ผมพิจารณาทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณแล้ว เห็นว่าค่อนข้างดี จึงเข้าไปซื้อไว้ ปรากฏว่าหลังจากนั้น ราคาก็ขึ้นเอาๆ โดยปัจจัยหลักไม่ใช่เพราะตัวธุรกิจ แต่เกิดจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นขาขึ้นต่อเนื่องยาวนาน ชนิด 'ช็อคโลก'

ครั้นได้กำไรประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ผมก็มองว่าราคาน่าจะแพงเกินพื้นฐานไปแล้ว จึงขายมันทิ้งเสีย ทว่ามันกลับขึ้นต่อไปอีก จนถึงวันนี้น่าจะบวกขึ้นมาอีกนับสิบเปอร์เซ็นต์

กรณีนี้ แม้จะไม่ใช่ความผิดพลาดในแง่ของการลงทุน เพราะเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของกิจการ แต่ในมุมของคนทั่วไป ก็อาจมองได้ว่า นี่เป็นการ 'ขายหมู' หรือ 'ขาดทุนกำไร' อยู่ไม่น้อย

หุ้นตัวที่สอง เป็นบริษัทอัญมณียักษ์ใหญ่ในยุโรป มีแบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก งบการเงินก็ยอดเยี่ยม และที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ราคาปรับลดลงมาค่อนข้างเยอะ เพราะผลประกอบการในสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลง ผมจึงเข้าซื้อ เนื่องจากมองว่ามี margin of safety อยู่พอสมควร

แต่พอซื้อแล้ว หุ้นกลับตกลงมาฮวบฮาบ แม้ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ว่ากันว่าเป็นเพราะมีเฮดจ์ฟันด์ตัวแสบคอย 'ชอร์ต' อยู่ จนนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า นี่เป็นหุ้นที่ undervalued ที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้

เคสนี้ แม้จะติดลบอยู่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ผมก็ไม่ได้มองว่าเป็นความผิดพลาด เพราะได้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว หากแต่สถานการณ์ทางการเงินยังไม่เป็นใจ และเชื่อว่าราคาน่าจะกลับเข้าสู่พื้นฐานในเร็ววัน

หุ้นตัวที่สาม ตัวนี้ความผิดของผมไม่ได้เกิดจากการเข้าซื้อ แต่ผิดเพราะ 'ไม่ได้ซื้อ' เป็นบริษัทขายอาหารเสริมของประเทศออสเตรเลีย ที่สนใจเพราะมองว่ามี 'แบรนด์' ที่ดีเยี่ยม เสมือน 'คูเมือง' ขนาดใหญ่ ยากที่คู่แข่งจะบุกเข้ามา งบการเงินก็ใช้ได้ อีกทั้งราคาขณะนั้นยังร่วงลงมาต่ำสุดในรอบหลายปี

ทว่าด้วยความที่มัวแต่ 'จ้อง' ไม่ยอม 'ลงมือ' พอถึงวันหนึ่ง หุ้นเจ้ากรรมก็ปรับตัวสูงขึ้นพรวดพราด ปัจจุบันขึ้นมาจากตอนที่เล็งไว้กว่า '100 เปอร์เซ็นต์' !!

เคสนี้ ผมถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของตัวเอง แม้จะไม่เสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว แต่กลับ 'พลาด' กำไรก้อนโต ชนิดที่ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไรจึงจะเจอโอกาสดีขนาดนี้

และทั้งหมด คือประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นต่างประเทศปีแรก ซึ่งผมมองว่า 'แค่เสมอตัว' ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไรนัก เหตุเพราะ 'สภาพแวดล้อม' แตกต่างอย่างยิ่งกับตลาดหุ้นไทย แม้จะวิเคราะห์ด้วยตำราเดียวกัน เราก็เหมือนทหารที่ไปรบในสมรภูมิใหม่ คงต้องเรียนรู้และปรับตัวกันอีกพักใหญ่กว่าจะคุ้นชิน

แต่ที่ชัวร์ยิ่งกว่าอะไร คือผมรู้สึก 'สนุก' กับการลงทุนขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้น ใครมีกำลังถึงระดับหนึ่ง อยากชวนมา 'โกอินเตอร์' ด้วยกัน แล้วจะพบว่าหุ้นถูกๆ ดีๆ ยังมีอีกเยอะ

เพราะโลกนี้ ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยครับ