คิดผิดมหันต์ : ยุบ อบต.

คิดผิดมหันต์ : ยุบ อบต.

ลดขนาดราชการส่วนกลาง เลิกราชการส่วนภูมิภาค ส่งเสริมราชการท้องถิ่น เพื่อเป็นการกระจายอำนาจสู่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยคือการปฏิรูประบบราชการ

คิดผิดมหันต์ : ยุบ อบต.

จากกราฟ “กำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน 2557”  จะเห็นได้ว่า

  1. ราชการส่วนภูมิภาค หรือก็คือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่างๆ นั้น มีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คนตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2557 ซึ่งเป็นข้อมูลเผยแพร่ล่าสุด ข้าราชการส่วนภูมิภาคจำนวนนี้มีสัดส่วนถึง 17% ของข้าราชการทั้งหมด
  2. แต่ราชการส่วนท้องถิ่น มีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้นทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท กลับมีข้าราชการไป “รับใช้ประชาชน” น้อยมาก
  3. ที่น่าสังเกตก็คือราชการส่วนกลาง ที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯมีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คนหรือราว 61% ของทั้งหมดแสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหารที่มีอีก)

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ณ ปี 2558) ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่างค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล

เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย รองจากบาร์เรน และมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%) (http://bit.ly/1zgXzfh)

ในอดีตไทยมีแต่ราชการส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆ ก็ต้องไปติดต่อที่อำเภอ หรือจังหวัด แต่ในปัจจุบันเรามีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดมีน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น 

อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจ นี่จึงเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้ และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูจากแนวโน้มประเทศไทยเราคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง

ในการส่งเสริมส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดำเนินการได้โดย

  1. ให้อำนาจส่วนท้องถิ่นในการจัดการศึกษา การดูแลความปลอดภัย การปกครองโดยตรงโดยมีข้าราชการเป็นของตนเอง ไม่สังกัดส่วนกลาง ไทยก็จะมีองคาพยพของระบบราชการที่ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการที่ “เทอะทะ” ตัดวงจรเส้นสายต่างๆ ไป
  2. ให้ท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งหรือสรรหา “City Manager” (ผู้จัดการเมือง)“City Appraiser” (ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน) หรือผู้บริหารการศึกษา ผู้จัดการฝ่ายโยธา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา โดยมีข้าราชการประจำคอยปฏิบัติตามนโยบาย ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำที่ควรรับใช้ประชาชนกลับมา “ขี่คอ”
  3. การแต่งตั้งหรือสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ ก็มาจากท้องถิ่น โดยนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่มาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลางอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นเท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตย

ดังนั้นงบประมาณต่างๆ ที่จะใช้จึงมาจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นำเงินส่วนนี้มาใช้เพื่อการบริหารเมืองหรือท้องถิ่นระดับต่างๆ ต่อไป ในการนี้

  1. ต้องจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เพียงพอไม่ใช่เก็บแค่ 0.1-1% แต่พึงจัดเก็บที่ 1-2% ของมูลค่าในแต่ละปี  
  2. ลดภาระภาษีทางอื่นเช่น เลิกใช้ภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีและค่าธรรมเนียมโอน เป็นต้น 
  3. ลดการเก็บภาษีทางตรง หรืออย่างน้อยต้องไม่เพิ่มขึ้นเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเงินจะได้ไม่ไหลไปส่วนกลาง ทำให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ ในระหว่างทางได้

แต่ขณะนี้กลับอนาถนัก ราชการกำลังพยายามยุบรวม อบต. ต่างๆ ทำให้ผู้แทนหรือปากเสียงของประชาชนลดลง และกลับพึ่งอำนาจส่วนกลางครอบงำให้มากขึ้น อย่างนี้จะพากันลงเหวหรือไม่ต้องช่วยกันไตร่ตรองให้ดี