เมืองไทยไร้สมดุลถึงขั้นวิกฤติ

เมืองไทยไร้สมดุลถึงขั้นวิกฤติ

คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาเสนอมุมมองหนึ่งว่า โลกกำลังตกอยู่ในภาวะขาดสมดุลร้ายแรงระหว่างสองฐานของการเป็นสังคมมนุษย์

การขาดสมดุลเกิดจากฐานด้านความรู้และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณในขณะที่ความแข็งแกร่งของฐานด้านคุณธรรมมิได้เพิ่มตามขึ้นไปในระดับเดียวกัน ตรงข้าม มันอาจเสื่อมทรามลง สภาพเช่นนี้ส่งผลให้โลกเสี่ยงต่ออันตรายถึงขั้นล่มสลายสูงขึ้น

ภาวะขาดสมดุลของสองฐานเป็นอย่างไรในสังคมไทย?

คำตอบคือ มันถึงขั้นไร้สมดุลจนเป็นวิกฤติแล้ว ทั้งนี้เพราะฐานด้านคุณธรรมเสื่อมทรามลงในขณะที่ฐานด้านความรู้เพิ่มขึ้นตามความรู้ของชาวโลก

จากมุมมองของชาวโลก องค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency International) ได้ทำดัชนีชี้วัดความโปร่งใสที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ นับสิบแห่งในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า เมืองไทยสอบตกมาตลอดโดยได้คะแนนไม่ถึง 40 ใน 100 (คะแนนเต็ม 100 หมายถึงการไร้ความฉ้อฉล หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเผด็จการประกาศว่าจะเอาจริงกับการปราบการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสในสายตาของชาวโลกกลับตกจาก 38 มาอยู่ที่ 35 ใน 100 ชาวไทยส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับชาวโลกหรือไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัด แต่สังคมแคบๆ ของผมซึ่งไม่มีคนฉ้อฉลปะปนอยู่มองว่าความเห็นของชาวโลกไม่ผิด

สำหรับความเห็นของคนไทย ในช่วงนี้ไม่มีการสำรวจความเห็นดังเช่นที่เคยทำ แต่เท่าที่พอจะอนุมานได้ ชาวไทยส่วนใหญ่มิได้เปลี่ยนจุดยืนอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ยินดีต้อนรับนักการเมืองฉ้อฉลหากตนได้ประโยชน์จากความฉ้อฉลของนักการเมืองคนนั้น เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันมิได้ประกอบด้วยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เรื่องความฉ้อฉลของนักการเมืองจึงตกไป อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลา 3 ปีกว่าๆ ที่รัฐบาลบริหารประเทศ โครงการของรัฐบาลมีการฉ้อฉลสูง ทั้งนี้เพราะหลังเริ่มดำเนินการไม่นานก็มีการร้องเรียนและตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมารวมทั้ง “โครงการ9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน” โครงการที่อ้างว่าตามรอยพระบาทพ่อหลวงเช่นนี้ไม่น่าจะมีความฉ้อฉล แต่เป็นที่ประจักษ์ว่ามีแน่นอน

นอกจากจะทำความฉ้อฉลในวงของพวกตนแล้ว ผู้ใหญ่ยังสอนให้เด็กสืบทอดความฉ้อฉลต่อไปในอนาคตอีกด้วย คอลัมน์นี้ได้อ้างถึงการทำผักชีโรยหน้าในโรงเรียนมาบ้างแล้ว อาทิเช่น การให้นักเรียนทำแปลงผักและสมุนไพรเพื่อให้ผู้ตรวจการศึกษาดู เมื่อผู้ตรวจฯ กลับไป ครูก็ให้นักเรียนรื้อแปลงเหล่านั้นทิ้ง การปลูกฝังให้เด็กหลอกตัวเอง หรือฉ้อฉลในแนวนี้มีอยู่ทั่วไปจนกลายเป็นมาตรฐานด้านพฤติกรรมที่สังคมไทยรับว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว

ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นมีความเลวร้ายจนทำให้สังคมไทยพัฒนาต่อไปได้ยากเนื่องจากความไร้สมดุลระหว่างฐานด้านความรู้และคุณธรรม แต่ยังมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นซึ่งบ่งว่าฐานด้านคุณธรรมเสื่อมทรามลงจนทำให้สังคมไทยเริ่มเดินเข้าทางแห่งความหายนะแล้ว ผมได้ยินสิ่งนั้นมานานและมาได้รับการยืนยันอีกครั้งรวมทั้งจากปากของเด็กโดยตรงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการสนทนากับเด็กที่ไปสอบวิชาธรรมศึกษาและครู กระบวนการสอนและสอบวิชานี้มีรัฐเป็นผู้สนับสนุนรวมทั้งการถวายปัจจัยให้พระไปสอนในโรงเรียน

โดยทั่วไปเมื่อพระไม่สามารถไปสอนได้จะเพราะเหตุใดก็ตาม ท่านยังรับปัจจัยโดยมิได้ส่งคืน หรือสอนชดเชย เด็กจึงมิได้รับความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของหลักสูตรเท่าที่ควร ในสภาพดังกล่าวนี้เมื่อมีการสอบวัดผล เด็กย่อมมีโอกาสสอบตกสูงมาก ส่วนครูและพระจะถูกตำหนิ ทางออกของพวกเขาคือ เวลาเด็กสอบ พระจะบอกคำตอบให้ พฤติกรรมแนวนี้มีอยู่ทั่วไปส่งผลให้เด็กสอบได้ในอัตราสูง ทุกฝ่ายพอใจเพราะเด็กสอบได้ตามเป้าหมายของรัฐ แต่ดูจะไม่มีใครติดใจถามอย่างจริงจังว่าเรากำลังทำอะไร เราได้เปลี่ยนความเลวทรามเป็นคุณธรรมะแล้วใช่ไหม? ในระยะยาวสังคมเราจะเป็นเช่นไร?

สำหรับผม สภาวะดังกล่าวนี้ชี้ชัดว่าฐานด้านคุณธรรมของสังคมไทยได้ตกไปใกล้ถึงก้นบึ้งแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานหายนะจะมาเยือน