ความคืบหน้าเรื่องรถไฟฟ้า – “The Future is All-Electric”

ความคืบหน้าเรื่องรถไฟฟ้า – “The Future is All-Electric”

รื่องการพัฒนารถไฟฟ้า (electric vehicle) นั้น มีความคืบหน้าไปรวดเร็วกว่าที่ผมเคยคาดการณ์มาก

ความคืบหน้าเรื่องรถไฟฟ้า – “The Future is All-Electric”

ล่าสุดเมื่อต้นเดือนต.ค. บริษัทรถยักษ์ใหญ่ General Motors (GM) ประกาศว่าจะผลิตรถไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 รุ่น ในปี 2018 และจะผลิตรถไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 18 รุ่น ในปี 2023 รวมเป็นอย่างน้อย 20 รุ่น ทั้งนี้ปัจจุบัน GM ผลิต รถ EV 100 % แล้ว 1 รุ่น คือ Chevy Bolt และ รถ plug-in hybrid อีก 1 รุ่น คือ Chevy Volt ทั้งนี้ GM ประกาศว่า “GM believes the future is all-electric…we are far along in our plan to lead the way to that future world” บริษัท GM ผลิตรถยนต์ทั่วโลก 10 ล้านคัน เมื่อปีที่แล้ว เปรียบเทียบได้กับประเทศไทยที่ผลิตรถสันดาปภายใน (internal combustion engine หรือ ICE) รวมทั้งสิ้น 2 ล้านคันต่อปี ไทยส่งออก 1.2 ล้านคัน และผลิตเพื่อขายภายในประเทศประมาณ 8 แสนคันต่อปี

เมื่อพูดถึงรถไฟฟ้า คนส่วนใหญ่จะนึกถึง Tesla เพราะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องนี้ และรถ Tesla ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ในความเป็นจริงนั้น Tesla ขาดทุนมาโดยตลอดมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญ ตั้งแต่เริ่มผลิตรถไฟฟ้า และยังส่งมอบรถ Model 3 ที่สั่งจองกันก่อนหน้าได้เพียงไตรมาสละไม่ถึงหมื่นคัน ซึ่งห่างจากกำลังผลิตของ GM อย่างมาก ที่สำคัญคือ ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ก็ประกาศในทำนองเดียวกันกับ GM ว่าจะผลิตรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ (ทั้ง EV และ plug-in hybrid) ไม่ว่าจะเป็น Daimler Benz, Volkswagen, Ford หรือ Volvo) รวมแล้วจะมีการผลิตรถไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นภายในปี 2023

- 47 รุ่นในอเมริกาเหนือ (จาก 24 รุ่นในปัจจุบัน)

- 80 รุ่นในจีน (จาก 61 รุ่นในปัจจุบัน)

- 58 รุ่น ในยุโรป (จาก 31 รุ่นในปัจจุบัน)

ดังนั้น จึงจะมีรถไฟฟ้าให้เลือกซื้อในตลาดโลกมากถึง 136 รุ่น ภายในปี 2023

แต่ตลาดที่จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของรถไฟฟ้าน่าจะเป็นตลาดจีน เพราะปัจจุบันรถไฟฟ้ามียอดขายไม่ถึง 1 ล้านคันทั่วโลก(จากยอดขายรถยนต์ทั่วโลกประมาณ 100 ล้านคันต่อปี) โดยเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายรถ EV นั้นขายในประเทศจีน ในขณะที่ตลาดรถของจีนโดยรวมนั้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของรถยนต์ของโลก (ยอดขายประมาณ 24 ล้านคันต่อปี) 

ทั้งนี้เพราะรัฐบาลจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนารถไฟฟ้า เนื่องจากจีนไม่เสียเปรียบประเทศพัฒนาแล้วในอุตสาหกรรมนี้ (แตกต่างจากรถ ICE ซึ่งประเทศตะวันตกได้พัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวมานานกว่า 100 ปีแล้ว) และยังจะช่วยลดปัญหามลภาวะที่รุนแรงในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศจีนอีกด้วย

ดังนั้น รัฐบาลจีนได้สั่งการให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกราย (ทั้งผู้ผลิตจีนและผู้ผลิตต่างประเทศ) ต้องเริ่มการผลิตรถไฟฟ้าออกมาขายตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าว่ารถ EV จะต้องมีส่วนแบ่งอย่างน้อย 20% ของยอดขายรถทั้งหมดในประเทศจีนในปี 2025 (หรือจะต้องขายรถ EV ประมาณ 7 ล้านคันปี 2025) ทำให้บริษัทรถยนต์ทั่วโลกต้องปรับตัว เร่งการนำเสนอและผลิตรถ EV ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตัวอย่างเช่น GM นั้น ขายรถได้ 3 ล้านคันในประเทศสหรัฐ แต่ขายรถได้ 3.6 ล้านคันในประเทศจีนเท่ากับ 40% ของยอดขายทั่วโลกของ GM สำหรับ Volkswagen นั้น ยอดขายในจีนคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า จีนจะเป็นแกนหลักในการกระตุ้นยอดขายของรถไฟฟ้าใน 10-20 ปีข้างหน้า

ประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็มีนโยบายที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้องการห้ามการขายรถ ICE ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เช่น ฝรั่งเศส และอังกฤษ มีความประสงค์จะห้ามการจำหน่ายรถ ICE ภายในปี 2040 และประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ก็มีมาตรการให้แรงจูงใจด้านภาษีให้กับผู้ที่ใช้รถไฟฟ้า เช่น รัฐบาลกลางสหรัฐ มีมาตรการจูงใจทางภาษีทำให้ผู้ซื้อรถ EV ได้ประโยชน์รวมทั้งสิ้น ประมาณ 7,500 (หรือเทียบ 250,000 บาท) ต่อการซื้อรถ EV 1 คัน ในขณะที่รัฐบาลจีนกำหนดให้รัฐบาลท้องถิ่นตั้งงบประมาณ 1,300 ล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการซื้อรถ Taxi EV ใหม่ 7,000 คันเพื่อทดแทนรถ Taxi เดิม ซึ่งเป็น ICE นอกจากนั้น รัฐบาลจีนก็ได้เร่งสร้างสถานีบรรจุไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ โดยมีเป้าหมายจะต้องมีสถานีดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 4.8 ล้านแห่ง ภายในปี 2020 จากปัจจุบัน ซึ่งมีสถานีบรรจุไฟฟ้าเพียง 156,000 แห่ง (ปัจจุบันสหรัฐมีสถานีบรรจุไฟฟ้าเพียง 43,000 แห่ง)

ความคืบหน้าเรื่องรถไฟฟ้า – “The Future is All-Electric”

รถ EV นั้น ปัจจุบันยังมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า รถ ICE แต่พัฒนาการด้าน Lithium battery ซึ่งทำให้ต้นทุนของการผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวลดลงประมาณ 7-8% ต่อปี จะทำให้รถ EV มีต้นทุนที่ แข่งขันได้กับรถ ICE ภายใน 10-15ปี ข้างหน้า ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ GM จึงได้ประกาศว่า รถไฟฟ้าคืออนาคต ซึ่ง บริษัทรถ Volvo (ซึ่งถูกซื้อโดยบริษัท Geely ของจีน) และบริษัท Chongqing Changan Automobile (ผู้ผลิตรถรายใหญ่เป็นที่ 2 ของจีน) ก็ได้ประกาศในทำนองเดียวกันไปก่อนหน้าแล้วครับ