เก็บหุ้นรับ 1700 จุด กลุ่มบริโภคในประเทศมาแรง

เก็บหุ้นรับ 1700 จุด  กลุ่มบริโภคในประเทศมาแรง

พิธีกร Stock Gossip by Money Wise ติดตาม live จ-ศ 14.15-14.30 น.

นับตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะกระทิงเต็มตัว และวิ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 ปี ด้วยการขึ้นไปยืนเหนือ 1700 จุด ได้สำเร็จ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น และการกลับเข้ามาซื้อลงทุนของต่างชาติ

ดัชนีหุ้นไทยขึ้นปรับตัวขึ้นจาก 1575 จุด (25 ส.ค.) จากนั้น ขึ้นไปปิดที่ 1659 จุด (14 ก.ย.) ถือว่าเป็นดัชนีสูงสุดในรอบ 24 ปี และขึ้นมายืนที่ 1712 จุด (12 ต.ค.) จนทำให้ระยะเวลาเกือบ 1 เดือนกว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแล้ว 138 จุด หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 8.69 %

ท่ามกลางการกลับมาซื้อสุทธิ ของต่างชาติแลการะสถาบันในประเทศ ทำให้ตัวเลขซื้อสะสม ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ต่างชาติซื้อสุทธิ 16,712.43ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 64,961.86 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 12,998.78ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 94,673.08ล้านบาท

สาเหตุสำคัญมาจากการประกาศความชัดเจนการเลือกตั้งเกิดขึ้นเดือน พ.ย. ปี 61 จากนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา และปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานาน 10 ปี เริ่มคลี่คลายจึงทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนมากขึ้น

ปัจจัยบวกต่างๆมาเร็วกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์เอาไว้ ดังนั้นเมื่อหันกลับมาดูการลงทุนในหุ้นรายตัวก็พบว่าหุ้นที่ยังขึ้นไปไม่ทันกับดัชนีหุ้นไทยยังมีอีกหลายบริษัท ทำให้เป็นจังหวะดีที่นักลงทุนจะหันกลับมาลงทุนในหุ้นเหล่านี้ เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่มีส่วนต่างกับราคามูลค่าพื้นฐานให้ได้ลุ้นในปีนี้จนไปถึงปีหน้า

นายเทิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส ประเมินหุ้นที่น่าสนใจและสามารถลงทุนได้จากราคาหุ้นยังปรับตัวน้อยกว่าตลาด (Underperform) มีปัจจัย 3 เรื่องที่ทำให้เลือกหุ้นเหล่านี้ไว้ในพอร์ตลงทุนได้

ปัจจัยแรกคือราคายังปรับตัวขึ้นได้ไม่มากเปรียบเทียบราคาพื้นฐาน สองมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี และสาม นักวิเคราะห์แนะนำลงทุน เมื่อดูแล้วพบว่ามีถึง 27 หลักทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่และกลาง ทำให้ได้รับผลดีอีกทางคือนักลงทุนต่างชาติและสถาบันสนใจจะซื้อลงทุนด้วย

ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หุ้นในกลุ่มการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากหลังการประกาศเลือกตั้งแล้วการใช้จ่ายภายในประเทศจะดีขึ้นไปถึงปีหน้า บวกกับนโยบายกระตุ้นของภาครัฐมีโอกาสจะออกในช่วงปลายปีกับมาตรการช้อปช่วยชาติเหมือนปีที่ผ่านมา

แนะนำ ลงทุน เช่น กลุ่มธนาคาร มี LHBANK ปันผลที่ 2.44 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 2.20 บาท , SCB ปันผลที่ 3.99 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 178 บาท ,BAYปันผลที่ 2.50 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 43 บาท และ KBANK ปันผลที่ 2.17 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 233 บาท

กลุ่มอาหารและบริการ MINT ปันผลที่ 0.93 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 46 บาท ,CPF ปันผลที่ 3.81 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 29.40 บาท และ M ปันผลที่ 3.72 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 68 บาท

กลุ่ม ก่อสร้าง UNIQปันผลที่ 1.91 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 25 บาท , CK ปันผลที่ 2.20 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 35 บาท , ITD ปันผลที่ 0.72 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 5.07 บาท และ STEC ปันผลที่ 1.58 % ราคาบวกขึ้นได้อีกจากเป้าหมาย 29.25 บาท

นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. หยวนต้า แนะนำนักลงทุนยังไม่มีหุ้นหรือเพิ่มหุ้นในพอร์ตให้เน้นหุ้น Underperform ยิ่งในกลุ่มการบริโภคภายในประเทศน่าสนใจมากที่สุด เพราะได้รับผลดีจากความเชื่อมั่นในประเทศดีขึ้น ประชาชนกล้าใช้จ่าย ส่งผลทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ นั้นหมายถึงการเติบโตของประเทศไทย

ยิ่งในช่วงดัชนีขึ้นมาแรงเกือบ 100 กว่าจุดในระยะเวลาเพียง 1เดือนกว่าทำให้หุ้นบางตัวยังปรับขึ้นไปไม่ทัน ซึ่งแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยยังคงเดินหน้าทำสถิติรอบใหม่แน่นอน แต่อาจจะมีช่วงพักฐานบ้าง สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ประมาณ 8-10 %  แล้วขายทำกำไร เพื่อหมุนไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่นำตลาดแทน

หุ้นที่แนะนำในกลุ่ม Underpreform คือ TRUE BANPU SCB CK UNIQ และROBINS เป็นหุ้นที่ราคายังต่ำกว่าราคาเป้าหมาย และที่ผ่านมายังปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งตลาดหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว 11 %

ส่วนหุ้นที่นำตลาดในแต่ละกลุ่ม หากเป็นกลุ่ม ธนาคาร เป็น KBANK กลุ่ม พลังงาน PTT กลุ่ม ค้าปลีก CPALL กลุ่มสื่อสาร ADVANC และกลุ่มก่อสร้าง STEC