How many great ideas have you ever come up with in your life? ที่ผ่านมาคุณคิดว่าตัวเองมีไอเดียสุดยอดสักกี่ไอเดียครับ
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก... ให้เวลาคิดนิดนึง ต้องเอาแบบความคิดสุดยอดที่กลายเป็นผลจริงด้วยนะ ฝันลมๆแล้งๆแต่ไม่ได้ลงมือทำไม่นับ
“3 มั้ง” เป็นคำตอบของเทรเวอร์ หนุ่มไอทีที่ผมชะโงกหน้าออกจากห้องไปถาม
“ยูล่ะไฮเดอร์ มีกี่สักกี่ไอเดีย” ผมหันไปหาเพื่อนร่วมงานอีกคน
“2-3 มั้ง” อีกหนึ่งคำตอบ
แล้วคิดว่า From now until death, how many more will you have? แล้วจากนี้ไปจนตายคุณคิดว่าจะมีอีกสักกี่ไอเดียสุดยอด
“ก็...น่าจะอีกสัก 3” ทั้งคู่บอกพร้อมกัน รวมเป็น 6 ไอเดียต่อคนต่อชีวิต
เวลาเราได้ยินคำว่า ‘หัวกะทิ’ เรามักนึกถึงบุคคล เช่น “นักเรียนระดับหัวกะทิ” หรือ “เขาคัดแต่พวกหัวกะทิ” วันนี้ผมจะชวนคิดใหม่ว่า หัวกะทิ ไม่ได้หมายถึงบุคคลอันปราดเปรื่องเหนือคนอื่น แต่หมายถึงความคิดอันปราดเปรื่องเหนือความคิดอื่น ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เกิดความคิดนั้นได้เหมือนๆกัน ไม่ว่าจะเป็น CEO หรือเด็กฝึกงาน
“Hey who left this thing here? Demonte!!” ผู้จัดการร้าน Walmart กล่าวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นลังสินค้าที่ยังแกะไม่เรียบร้อยดีถูกวางกองไว้กลางพื้น มองหาเดมอนเต้ เด็กพาร์ตไทม์ที่รับหน้าที่ขับรถยก
“Wait a minute Phil” แซม วอลตัน เจ้าของอาณาจักรขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกรั้งแขนไว้ ตาจ้องไม่กะพริบ “Look at that…” ดูนั่น เขาชี้มือออกไป
ตรงหน้าผู้บริหารทั้งสองคนคือลูกค้าที่กำลังแย่งกันซื้อสินค้าในลังอย่างเอาเป็นเอาตาย บางคนช่วยฉีกพลาสติกหุ้มให้ด้วย นั่นคือจุดกำเนิดของนวัตกรรม Crate Display ที่โด่งดัง ข้อดีคือ 1) ไม่ต้องเสียเวลารื้อสินค้า 2) ไม่ต้องเสียทรัพยากรจัดเรียง 3) ลูกค้าเข้าถึงของได้รอบด้าน ต่างจากชั้นวางที่หยิบได้เพียงฝั่งเดียว 4) ลูกค้าเข้าใจว่าของนั้นราคาถูก จึงเป็นที่มาของการแย่งซื้อ เข้าสมการ Save Money Better Lives ของวอลมาร์ตเป๊ะ
ทั้งหมดนี้เกิดจากเด็กยกของวัยเพียงยี่สิบต้นๆ
ข้อคิดของผู้นำสมอง
1. Everyone is capable of great ideas ทุกคนในองค์กรมีศักยภาพที่จะเกิดไอเดียบรรเจิด
ตัวอย่าง Walmart นั้นเกิดกว่า 50 ปีมาแล้ว ซึ่งโลกแห่ง 21st Century มีบุคคลากรอันสามารถกว่าสมัยนั้นมาก The Future of Jobs Report โดย World Economic Forum 2016 กล่าวว่า “…the degree of changing skills requirements within individual job families is even more pronounced” พนักงานแห่งอนาคตจะต้องมีทักษะหลากหลายและเรียนรู้สิ่งใหม่มากยิ่งขึ้น แปลง่ายๆว่าคนของคุณจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นที่มาแห่งไอเดียสุดยอดของธุรกิจคุณอาจมาจากใครก็ได้ไม่จำกัดตำแหน่งหรือกระทั่งวัย
2. Everyone has a quota of great ideas คำถามข้างต้นของผมเป็นการทดลองว่า เราแต่ละคนอาจมีความคิดบรรเจิดในหนึ่งชีวิตเป็นจำนวนจำกัด
เช่นเทรเวอร์และไฮเดียมีเฉลี่ยแล้ว 1 ความคิดต่อ 10 ปี ซึ่งไม่แปลกเลยเพราะสำหรับสมอง
ไอเดียสุดยอดเกิดจากสามอย่าง 1) ประสบการณ์ที่บันทึกสะสมไว้ Experience 2) เหตุการณ์กระตุ้น Trigger และ 3) ดวง Luck ความคิดใหม่เกิดขึ้นเมื่อเราหยุดคิด Think by not thinking และโอกาสที่สามอย่างนี้จะโคจรมาพบกันนั้นน้อยมาก
หลายคนนั่งคิดทั้งสัปดาห์ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ลุกขึ้นอาบน้ำตอนเช้าไม่ได้คิดสักนิดดันเกิดโมเม้นท์บรรเจิด ฉะนั้นควรหยุดคาดหวังว่าคุณจะจ้างนักคิดที่ออกไข่ความคิดสุดยอดได้ทุกวันเหมือนไก่
3. Stop looking at people; Start looking at ideas สิ่งนี้พูดง่ายแต่ทำยาก
CEO ท่านหนึ่งเพิ่งระบายอย่างหงุดหงิดว่าทำไมคนในองค์กรไม่ช่วยกันคิดเท่าที่ควร ผมบอกแกว่าการเก็บเกี่ยวความคิดคนไม่ง่ายแค่ประกาศนโยบาย
But I don’t want to force them to think by setting a deadline ผมจึงแย้งแกให้มองในมุมว่าการกำหนดเงื่อนเวลาอย่างเป็นกิจจะลักษณะไม่ใช่การบังคับความคิด แต่เป็นการ ‘ให้โอกาส’ คนคิดต่างหาก เป็นใบอนุญาตให้คนกล้าคิด หนูคิดถูกหรือคิดผิดเป็นความผิดของพี่ เพราะ “พี่สั่งให้หนูคิด” ซึ่งปลอดภัยสำหรับสมอง แต่ถ้าหนูเ_อกเดินมาเคาะประตู CEO เองแล้วมันไม่ใช่ จะกลายเป็น “คิดอะไรไม่ได้เรื่อง” ซึ่งเป็นจุดตายสำหรับสมอง
สิ่งเล็กๆแค่นี้อาจเป็นความแตกต่างระหว่างไอเดียที่ติดอยู่ในหัวคน กับไอเดียที่นำออกมาแชร์เพื่อต่อยอดให้กับองค์กร
หัวกะทิอย่างคุณผู้อ่านล่ะครับ ชีวิตที่ผ่านมามีไอเดียสุดยอดบรรเจิดมาแล้วกี่ครั้ง และคิดว่าจะมีอีกสักกี่ครั้งครับ