บีเจซีผนึกบิ๊กซีแข่งค้าปลีก จัดโครงสร้างปั๊มรายได้
พิธีกร Stock Gossip by Money Wise ติดตาม live จ-ศ 14.15-14.30 น.
เวลาเกือบ 2 ปีที่กลุ่มทีซีซี คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทของตระกูล ‘สิริวัฒนภักดี ‘เข้ามาซื้อหุ้น บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC ซึ่งภายหลังที่มีการดำเนินการรวมกิจการแล้วเสร็จ จนทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เหลือแค่ 2.06 % จนเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้วันนี้ต้องดำเนินการเพิกถอน หุ้น บิ๊กซี ออกจากตลาดหุ้นไทย
ก่อนหน้านี้กลุ่ม ทีซีซี ได้เสนอซื้อหุ้นบิ๊กซี จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ Geant Internation B.V. จำนวน 483 ล้านหุ้น เป็นสัดส่วน 58.55 % ที่ราคา 252.88 บาท เป็นเงินมูลค่าสูงถึง 122,400 ล้านบาท
จากนั้นให้บริษัทที่เป็นธงรบในกลุ่มค้าปลีก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เข้ามาถือหุ้นแทนผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท บีเจซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ในสัดส่วน 71.48 % และมีบริษัท เสาวนีย์ โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ที่ 26.46 %
รวมทั้งดำเนินการเสนอซื้อหุ้นในตลาดที่เหลือทั้งหมดในช่วงระหว่างวันที่ 7 ก.ค. 60 -12 ก.ย. 60 ในราคาหุ้นละ 225 บาท ทำให้หุ้นในมือของบีเจซี ขึ้นมาอยู่ที่ 97.94 % พร้อมทั้งแจ้งเพิกถอนหุ้นบิ๊กซีจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีการซื้อขายวันสุดท้ายคือ 27 ก.ย. นี้
ตามรายงานอย่างเป็นทางการถึงการเพิกถอนหุ้นในครั้งนี้ ระบุถึงสาเหตุจากสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นลดลง รวมทั้งผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามนโยบายการบริหารงานของผู้ถือหุ้นใหญ่
หากมองในอีกด้านความจำเป็นในการอยู่ในตลาดหุ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งระดมทุนหรือไม่ คำตอบนี้เห็นชัดไม่จำเป็นจากศักยภาพและเงินทุนที่หนาของกลุ่มทีซีซี ไม่งันคงไม่กล้าทุ่มแสนล้านบาทซื้อความเป็นเจ้าของบิ๊กซี มาได้
การลดปัญหาการ มีผู้มีส่วนได้เสียหลากหลายกลุ่มนั้น แน่นอนว่าเมื่อทุ่มเม็ดเงินซื้อในระดับนี้แล้วความคล่องตัวในการบริหารงาน การกำหนดยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกลุ่มค้าปลีก เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกในมือ ‘สิริวัฒนภักดี’ เป็นจิ๊กซอสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มภาพการแข่งขันในระดับประเทศและภูมิภาคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นจะต้องมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องการเงิน การดำเนินธุรกิจ การจัดการทรัพย์สิน การปรับเปลี่ยนโอนย้ายโครงสร้างธุรกิจ เพื่อสร้างศักยภาพและรายได้ของกิจการในอนาคต
เมื่อดูจากศักยภาพของ บิ๊กซี มีทั้งแบนด์ เป็นที่รู้จัก และมีสาขาบนที่ดินทำเลทองหลายแห่ง ทั่วประเทศ ก็อาจจะเห็นการนำสินทรัพย์ไปใช้เพื่อเกิดประโยชน์ในธุรกิจค้าปลีกเอง หรือแม้แต่ธุรกิจอื่นๆภายในเครือที่มีอยู่จำนวนมาก
ปัจจุบัน บิ๊กซี มีสาขาทั้งสิ้น 807 สาขา แบ่งเป็นลักษณะ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 131 สาขา ( บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 15 สาขา และบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า 116 สาขา ) บิ๊กซี มาร์เก็ต 59 สาขา มินิบิ๊กซี 475 สาขา และร้านขายยาเพรียว 142 สาขา
โดยแต่ละตลาดก็มีการแข่งขันที่ชัดเจนและรุนแรงนั้นเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ต้องมีการวางกลยุทธ์ในการแข่งขันภายใต้การรวมกิจการกันแล้ว เนื่องจากทางบีเจซี ถือว่าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจระดับภูมิภาค มีธุรกิจ ต้นน้ำ เป็นผู้ผลิตแก้ว สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน มีธุรกิจกลางน้ำ ด้วยการเป็นผู้ขายส่งตามกลุ่มค้าปลีก และธุรกิจปลายน้ำ คือ บิ๊กซี
เมื่อหันมาดูคู่แข่งแต่ละรายถือได้ว่าเป็นทุนใหญ่และแข็งแรงทั้งสิ้น อย่าง ในตลาด ไฮเปอร์มาร์เก็ต มีทั้ง เทสโก้โลตัส และ สยามแมคโคร หรือในกลุ่ม มินิมาร์ท มีทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น , แฟมมิลี่ มาร์ท ,เทสโก้โลตัส เอ็กซ์เพรส และ ลอว์สัน108 เป็นต้น
เบื้องต้นบีเจซี ระบุถึงการเติบโตของบิ๊กซีในปีนี้ โดยเฉพาะตลาดในประเทศไทยได้รับผลจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงทำให้ครึ่งปีแรกยอดขายสาขาเดิมติดลบ คาดว่าทั้งปีน่าจะติดลบไม่เกิน 5 % เพราะในช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่ก.ค. – ก.ย. เพิ่มเห็นยอดขายกลับมาบวก ซึ่งช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีกำลังซื้อน่าจะกลับมาดีขึ้น และน่าจะส่งผลต่อการเติบโตบีเจซีเพราะรวมงบของบิ๊กซีเข้ามาในปีนี้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล. )เอเชีย พลัส ได้ประเมินว่าแม้ บิ๊กซี จะเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ก็จะกระทบมูลค่าตลาด (Market Cap ) ในกลุ่มค้าปลีกหายไป 1.71 แสนล้านบาท แต่ไม่มีผลต่อฐานการเงินหรือแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
โดยมองว่าทางกลุ่มทีซีซี ต้องการผลักดันการเติบโตให้มากขึ้น เพราะหากประเมินจากเม็ดเงินที่ลงทุน 1.2 แสนล้านบาท เทียบกับกำไรปีละ 6 พันล้านบาท กรณีที่บิ๊กซีไม่มีการเติบโตเลยต้องใช้เวลา 18 ปีกว่าจะคืนทุน