แฝดสยามกับความล้มละลาย

แฝดสยามกับความล้มละลาย

เมื่อเอ่ยถึง “แฝดสยาม” ในมโนภาพคงเป็นคู่แฝดติดกันชื่อ “อิน-จัน” ซึ่งเกิดในเมืองไทยเมื่อปี 2354 และไปใช้ชีวิตในสหรัฐจนกระทั่งปี 2417

แต่ “แฝดสยาม”ในบทความนี้หมายถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิอันเป็นที่ตั้งของเมืองไทยและพุทธศาสนาซึ่งชาวไทยส่วนใหญ่บอกว่าเป็นศาสนาของตน ทั้งสองอาจมองได้ว่าเป็น พรสวรรค์ ที่ชาวไทยได้รับ กล่าวคือ แผ่นดินสุวรรณภูมิมีความอุดมสมบูรณ์ทุกด้านจนเอื้อให้คนไทยดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยมีปัจจัยสี่ครบถ้วนแบบไม่ต้องดิ้นรนและคำสอนของพุทธศาสนาเป็นฐานให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างสงบสุข

อย่างไรก็ดี ในขณะนี้แนวโน้มบ่งชี้ว่าชาวไทยได้เปลี่ยน พรสวรรค์เป็น คำสาป ตามแนวของเวเนซุเอลาซึ่งได้รับพรสวรรค์ในรูปของน้ำมันปิโตรเลียมปริมาณมหาศาลแต่กลับล้มลุกคลุกคลานและตกอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลายอีกครั้งในปัจจุบัน

ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของของวิกฤติใหญ่ซึ่งปะทุเมื่อเมืองไทยประกาศลอยค่าเงินบาทเมื่อต้นเดือนก.ค. 2540 ในพระราชดำรัสเมื่อคืนวันที่ 4 ธ.ค.ปีนั้นของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีข้อความตอนหนึ่งว่า ที่นายกฯ กล่าวว่าระยะนี้เป็นระยะที่วิกฤติ ..... ทำให้คิดว่าวิกฤตการณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร เราเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์และเราก็ได้ชื่อว่ากำลังก้าวไปสู่เมืองที่เป็นมหาอำนาจทางการค้า ทำไมเกิดมีวิกฤตการณ์ อันที่จริงวิกฤตการณ์นี้เห็นได้มานานแล้ว 40 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ตัว เมื่อ ๔๐ กว่าปี มีผู้หนึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยมาขอเงิน ที่จริงก็เคยให้เงินเขาเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ เขาบอกไม่พอ เขาก็ขอยืมเงิน ขอกู้เงิน

พระองค์ทรงยกตัวอย่างเรื่องการมาขอกู้เงินของข้าราชการชั้นผู้น้อยซึ่งมองได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เล็กๆ ภายในภาพใหญ่ของสังคมไทยในตอนนั้น กล่าวคือ เมืองไทยเริ่มกระบวนการเร่งรัดพัฒนาประเทศที่เน้นการลงทุนในด้านการอุตสาหกรรมโดยการกู้ยืมทั้งเงินทุนและความรู้จากผู้อื่น จากตัวชี้วัดที่ยอมรับกันโดยทั่วไป การพัฒนาเกิดขึ้นในระดับหนึ่ง แต่กระบวนการนั้นได้ปูฐานไปสู่การกู้ยืมจนเกิดหนี้สินล้นพ้นตัวส่งผลให้เมืองไทยจ่ายคืนเจ้าหนี้ไม่ได้ หรือตกอยู่ในภาวะล้มละลายต้องไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อปี 2540 องค์กรนี้ตั้งเงื่อนไขหลายอย่างรวมทั้งการขายสมบัติของชาติซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน

นโยบายในกระบวนการเร่งรัดพัฒนามีผลทำให้ชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นชาวไทยส่วนใหญ่และมีไร่นาขนาดเล็กก่อหนี้เพื่อนำมาใช้ในด้านการลงทุนและด้านการบริโภคโดยเชื่อว่าพวกเขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากจนสามารถบริโภคได้เช่นเดียวกับที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ แต่มันเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ชาวไร่ชาวนาจึงมีแต่หนี้สินจนสูญที่ทำกินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทางออกที่ในหลวงรัชการที่ 9 ทรงพระเมตตาชี้แนะให้ในพระราชดำรัชดังกล่าวนั้นคืออะไร ส่วนนโยบายของฝ่ายรัฐบาลก็มิได้เป็นไปตามนั้นทั้งที่อ้างถึง “ศาสตร์พระราชา” มาอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่พระองค์ทรงอ้างถึงอีกหนึ่งปีต่อมาว่า สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่มีพอมีพอกิน จึงต้องเป็นนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ

พระองค์ทรงอ้างถึงเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของศาสตร์พระราชา แก่นของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ที่ “ทางสายกลาง” อันเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แต่สภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาในเมืองไทยดูจะไม่มีอะไรบ่งชี้ไปในแนวการปฏิบัติตามทางสายกลางอย่างถูกต้อง พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังรับเงินและยังชักชวนให้ทำบุญโดยการถวายเงินและก่อสร้างวัตถุขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ศาลา หรือพระพุทธรูป พุทธศานิกชนส่วนใหญ่หลงผิดคิดกันว่า นั่นคือทางไปสวรรค์ หรือชาติหน้าตนจะเกิดมาในภาวะร่ำรวยและมีความสุขกายสบายใจมากกว่าในชาตินี้ บางคนถึงกับก่อหนี้เพื่อนำเงินไปทำบุญ

ชาวไทยทำอะไรกับแฝดสยามในบทความนี้บ่งชี้อย่างแจ้งชัดแล้วว่า เมืองไทยจะเดินไปสู่ความล้มละลายทั้งทางเศรษฐกิจและทางจิตวิญญาณ เมื่อรวมกันจะเกิดอะไร คงไม่ต้องพูดถึง