สูตรค่าที่ดินกรมธนารักษ์ AOT ไม่กระทบดันราคาหุ้นเกินแวลลู

สูตรค่าที่ดินกรมธนารักษ์  AOT ไม่กระทบดันราคาหุ้นเกินแวลลู

พิธีกร Stock Gossip by Money Wise ติดตาม live จ-ศ 14.15-14.30 น.

หุ้นใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ถูกไล่ราคาหุ้นมาตลอดยิ่งช่วงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาดันดัชนีหุ้นไทยให้ทะลุ 1650 จุดด้วยแล้ว ราคาหุ้นสามารถขึ้นไปทำราคาสูงสุดใหม่ ที่ 61.50 นับตั้งแต่แตกพาร์ท จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท ในช่วงก.พ. ที่ผ่านมา

ราคาหุ้นรอบเดือนก.ย จาก 51.50 บาท ขึ้นมาทำราคาสูงสุดที่ 60.75 บาท และต่ำสุดที่ 51.25 บาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.5 บาท หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 14.5 %

ท่ามกลางความคาดหวังผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศที่โตมาโดยตลอด ซึ่งเดือนส.ค. นักท่องเที่ยวโต 8.7 % จากปีก่อน เป็น 3.1 ล้านคน ทำให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงส.ค .มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 23.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน ถือว่าเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากเป้าหมายที่ภาครัฐวางไว้ทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยว 34.5 ล้านคน

AOT ถือได้ว่าเป็นผู้ให้บริการสนามบินของประเทศ ได้รับประโยชน์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จากการเป็นผู้รับสัปทานเพียงรายเดียว บริหารสนามบินทั้ง 6 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ,ดอนเมือง ,ภูเก็ต ,เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ หาดใหญ่ สงขลา

ผลประกอบการที่ผ่านมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง งวด 9 เดือน ปี 60 (ต.ค.59 – มิ.ย. 60 ) มีรายได้ 42,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.69 % จากปีก่อน กำไร 16,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.22 % มีอัตราการทำกำไร 100 %  กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน 19,107 ล้านบาท และมีกำไรสะสมสูงถึง 99,426 ล้านบาท

โดยในช่วงที่ผ่านมาข่าวที่กระทบฐานะทางการเงินค่อนข้างน้อยยกเว้นการปรับขึ้นค่าเช่าที่ดินของกรมธนารักษ์ นั้นคือที่ดิน สนามบินสุวรรณภูมิ  ทำให้ราคาหุ้นปรับลงไปเล็กน้อย เพราะได้มีการพิจาณาจะปรับอัตราค่าเช่าใหม่ และล่าสุดได้เคาะสูตรค่าเช่าที่ดินอย่างเป็นทางการแล้ว

การคำนวณค่าเช่าใหม่ทั้งหมด โดยเงินก้อนแรกที่ AOT ต้องจ่ายเป็นค่าเช่าคิดย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2556-2560 ประมาณไม่เกิน 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะมีการจ่ายวันที่ 30 ก.ย. นี้ เงินก้อนที่สอง เป็นการจ่ายค่าตอบแทนจากมูลค่าทรัพย์สิน ตามสูตร ส่วนแบ่งรายได้ ระหว่างปี 2561-2565 ในอัตรา 3 % และจะมีการปรับขึ้นเป็น 9 % ทุกๆ 3 ปี โดยในงวดปี 2561 คิดเป็นเงิน 900 ล้านบาท

ดังนั้นงวดปี 2560 คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายจ่ายเพิ่มขึ้นมาคือค่าเช่าที่ดินย้อนหลัง 1,400 ล้านบาท ส่วนในงวดปี 2561-2563 มีค่าเช่าที่ดินบวกกับค่าตอบแทนมูลค่าทรัพย์สินที่ 3 % คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท  และ 3 ปีถัดไป มีค่าเช่าที่ดินบวกกับค่าตอบแทนมูลค่าทรัพย์สิน 9 % คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 2,600 ล้านบาท

หากประเมินจากฐานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันสามารถรองรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาได้ เพียงแต่ในขณะเดียวกันบริษัทต้องเร่งการขยายพื้นการให้บริการเชิงพาณิชย์ มากขึ้น ตามโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 และเฟส 3 ที่ตั้งงบลงทุนสูงถึง 60,000 -70,000 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งอาจจะทำให้มีการผลักภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้ประกอบการแทน ไม่ว่าจะเป็นผู้เช่าพื้นที่  สายการบิน หรือผู้โดยสาร บวกกับ ทิศทางจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังเติบโตต่อเนื่อง จึงน่าจะทำให้บริษัทเร่งขยายรายได้ชดเชยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเชีย เวลท์ เชื่อว่าหุ้น AOT สามารถสร้างผลกำไรในงวดปี 2560 ที่ 22,000 ล้านบาท และงวดปี 2561 ที่ 25,000 ล้านบาท เพียงพอกับการรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับกรณีปรับขึ้นค่าเช่าที่ดิน

ส่วนค่าเช่าที่คิดย้อนหลัง 1,400 ล้านบาท สามารถนำกำไรสะสมมาจ่ายได้โดยไม่กระทบผลการดำเนินงานในปีนี้ ดังนั้นผลกระทบในเรื่องนี้ต่อกำไรค่อนข้างน้อย อีกด้านถือว่าเป็นผลดีที่ทำให้บริษัทต้องเร่งขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้ ให้มากขึ้นจากที่ล่าช้าไปก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจัยดังกล่าวไม่ได้กระทบฐานะบริษัทมากหนัก และยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวค่อนข้างเร็วและแรง จนทำให้เมื่อเทียบกับ ราคายุติธรรม (Fair Value) ถือว่าแพงมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรับราคาเหมาะสมมาอยู่ที่ 59 บาทตอบรับกับคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้นแล้ว

ดังนั้นหากราคาหุ้นเกิน 60 -61 บาท ควรอยู่บนผลการประกอบการมีกำไรระหว่าง 35,000 -40,000 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนอาจจะทำกำไรในช่วงนี้และรอซื้อเมื่ออ่อนตัว