ลงทุนอย่างทันสมัยด้วย “Big Data”

ลงทุนอย่างทันสมัยด้วย “Big Data”

ลงทุนอย่างทันสมัยด้วย “Big Data”

เราคงได้ยินคำว่า “Big Data” กันบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยรู้ความหมายที่แท้จริง และไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนหนึ่งจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราก็ถูกรวมเข้าไปในกล่องข้อมูล Big Data นี้โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการ check in ตามสถานที่ต่างๆใน Facebook การติดแฮชแทค (#) เวลาลงรูปในโซเชียลมีเดีย สั้นๆง่ายๆก็คือ ทุกอย่างที่เป็น Digital Footprint ของเรานั่นเอง ทั้งนี้ ตามนิยามแล้ว Big Data คือ ข้อมูลที่มีปริมาณมากในระดับ Terabytes (TB) ขึ้นไป ซึ่งจะผ่านกระบวนการกลั่นกรอง คัดเลือก และวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ หลักๆแล้วคุณลักษณะของ Big Data จะต้อง 1) เป็นข้อมูลที่มีปริมาณใหญ่มาก ไม่สามารถจัดเก็บ และประมวลผลได้ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว (Volume) 2) เป็นข้อมูลที่มาจากหลายแหล่ง หลายรูปแบบ (Variety) และ 3) เป็นข้อมูลที่สร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วตลอดเวลา (Velocity) 

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ หลายๆบริษัทหันมาให้ความสำคัญในการพิจารณาข้อมูลพวกนี้ในการประเมินพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ในระยะหลัง Big Data ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในแวดวงการลงทุนด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างบริษัทจัดการลงทุนชื่อดังอย่าง “BlackRock” ที่นำ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อที่จะค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนผ่านกระบวนการ เช่น

  • การใช้คอมพิวเตอร์อ่านแถลงการณ์ผลประกอบการณ์ของบริษัทจดทะเบียน และบทวิเคราะห์กว่า 5,000 รายงานต่อปี เพื่อเรียงลำดับความน่าสนใจของหุ้นโดยพิจารณาจากคำที่ผู้บริหารพูดถึงบ่อยๆว่ามีบริบทที่เป็นบวก หรือเป็นลบ
  • การวิเคราะห์คำที่ถูกค้นหาบ่อยใน Search Engine รวมถึงข้อความที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียว่าสินค้าหรือบริษัทใดได้รับความสนใจมากขึ้น หรือน้อยลง เพื่อระบุความจงรักภักดี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และจับสัญญาณว่าเทรนด์สินค้าใดกำลังจะมาในอนาคตอันใกล้ เพราะปัจจุบันยอดค้าปลีกสหรัฐฯกว่า 8.4% มาจากทางออนไลน์ ปรับตัวขึ้นจากระดับ 2.5% ในปี 2548
  • การจับสัญญาณ GPS ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อระบุสถานที่ของผู้ใช้บริการแต่ละคน ซึ่งจากการสำรวจพบว่ากว่า 70% ของชาวอเมริกันใช้สมาร์ทโฟน แปลว่าคอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากถึง 6 หมื่นล้านข้อมูลในทุกๆเดือน โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถบอกได้ถึงร้านค้าขายปลีก หรือร้านอาหารที่มีคนเข้าบ่อยที่สุด
  • นอกจากนี้ ยังมีการใช้ Machine Learning จับระดับความสามารถของเทรดเดอร์รายคนว่าตัดสินใจลงทุนถูกผิดมากน้อยเพียงใด รวมถึงวัดระดับว่าการเทรดของเทรดเดอร์กลุ่มไหนเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดสำคัญ โดยจะนำข้อมูลนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วยโดยเฉพาะช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

ต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้หมุนไปอย่างรวดเร็ว เทรนด์มาและไปอย่างต่อเนื่องจนบางครั้งก็ตามไม่ทัน การคัดสรรหุ้นเพื่อลงทุนก็ต้องตัดสินใจรวดเร็วตาม เพราะถ้าช้าก็มีสิทธิ์ตกรถสูง นวัตกรรมทาง Big Data นี้จึงเข้ามามีส่วนช่วยโลกของการลงทุนให้สามารถจับจังหวะหรือทิศทางแนวโน้มการลงทุนได้อย่างทันท่วงที และแม่นยำมากขึ้น