ผู้มาเยือนคณะใหญ่จากญี่ปุ่น ส่งสัญญาณจากไทยไปทั่วโลก
สัปดาห์นี้เราจะเห็นการมาเยือนของคณะใหญ่นักธุรกิจญี่ปุ่นนำโดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจ, การค้าและอุตสาหกรรมที่ผมเห็นว่า
น่าจะเป็นจุดผันแปรทางด้านการถ่วงดุลย์ระหว่างยักษ์ใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง
รัฐมนตรีประจำกระทรวง Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) ของญี่ปุ่นชื่อ Hiroshige Seko ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายกฯชินโซะ อาเบะ จะเป็นหัวหน้าทีมมาเยือนไทยเพื่อจะกรุยทางสำหรับการเปิดศักราชการค้าและการลงทุนในไทย
หากเดินเรื่องให้ถูกต้องเหมาะเจาะ นี่อาจจะเป็นการต่อยอดสิ่งที่ญี่ปุ่นได้ช่วยไทยทำไว้เมื่อ 35 ปีก่อน นั่นคือการก่อเกิดของ Eastern Seaboard
วันนี้สิ่งที่เรียกว่า Eastern Economic Corridor หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นการเสริมต่อเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและทิศทางใหม่ของภูมิภาคนี้
ยิ่งมีข่าวว่ารัฐมนตรีเซโกะจะนำเอานักธุรกิจญี่ปุ่นมาประมาณ 500 คนทั้งระดับใหญ่และระดับกลาง ก็ยิ่งเห็นภาพชัดว่าประเทศไทยควรจะถือโอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นกับญี่ปุ่นเพื่อเสริมกับที่จับมือกับจีนอย่างเหนียวแน่นอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
เพราะเรายังไม่แน่ใจนักว่าสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะมีความชัดเจนในนโยบายด้านการเมือง, การทูตและเศรษฐกิจไปทางใด รู้แต่ว่าทรัมป์ไม่เอาเรื่องเขตการค้าเสรีและจะต่อรองทุกอย่างเพื่อให้อเมริกาได้ประโยชน์ก่อนเป้าหมายอื่น ๆ
รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นมาครั้งนี้จะพาเอาระดับนำของธุรกิจญี่ปุ่นภายใต้สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นระดับชาติที่เรียกว่า Keidanren ซึ่งมีสมาชิกเป็นธุรกิจระดับชาติและท้องถิ่นกว่า 1,600 บริษัท
การพบปะระหว่างคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นกับนายกฯและรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม อุตตม เสาวนายน ตลอดจนถึงรัฐมนตรีเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องตอกย้ำถึงการลงมือทำให้เกิดผลงานทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะมีการลงนามในเอ็มโอยูมาแล้วหลายฉบับ จำต้องแปรตัวหนังสือเป็นผลงานที่จับต้องได้อย่างจริงจัง
จีนเข้ามาสร้างรถไฟกับไทยเป็นส่วนหนึ่งของ One Belt One Road ญี่ปุ่นก็สนใจจะสร้างรถไฟความเร็วสูงแบบเดียวกับ “ชินกันเซน” ที่บ้านเขา เชื่อมระหว่างอยุธยา กรุงเทพฯและระยองซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นการเสริมกันและกันได้อย่างดี
แน่นอนไทยจะต้องต่อรองให้ได้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับไทยเราเองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนร่วม, เงินกู้, และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มาถึงคนไทยได้อย่างจริงจัง
ที่สำคัญคือการที่ไทยเราเองจะต้องมีเอกภาพทั้งภาครัฐและเอกชนในการเชื่อมโยงกับประเทศใหญ่ ๆ ที่เรากำลังเจรจาและเชิญชวนมาลงทุนในไทยด้วย เพราะหากรัฐบาลไปทางหนึ่ง เอกชนไปอีกทางหนึ่งโดยไม่มีเป้าหมายร่วมระดับชาติ เราก็ไม่อาจจะได้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้
ไทยมีจุดแข็งหลายประการทั้งในแง่สภาพภูมิศาสตร์และเงื่อนไขด้านสังคม แต่อ่อนในเรื่องการวางแนวทางร่วมกันอย่างแข็งขันระหว่างรัฐและเอกชนและการปฏิรูประบบราชการให้สอดคล้องกับการสร้างชาติสร้างบ้านเมืองให้แข็งแกร่งเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังมีผลกระทบต่อทุกๆ ด้านของเศรษฐกิจ
การมาเยือนคณะใหญ่จากญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้จึงเป็นนิมิตรหมายที่ดี ส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่าไทยเปิดประตูสำหรับทุกคนที่มีอะไรดี ๆ ที่จะทำร่วมกันเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
และแน่นอนต้องเน้นประโยชน์ต่อประชาชนทุกภาคส่วนของเราเป็นหลักด้วย