คสช.= คนดีสุดช้ำ

คสช.= คนดีสุดช้ำ

ผ่านมา 3 ปี คสช.ในสโลแกนที่ว่า “คืนความสุขให้คนในชาติ” เสื่อมมนต์ขลังไปเรียบร้อย วันนี้ยุค คสช.กำลังเข้าสู่ยุค “คนดีสุดช้ำ”

เพราะนอกจากไม่ค่อยเลือกใช้ “คนดี-มีความสามารถจริง” เข้ามาทำงานแล้ว (เพราะเน้นใช้แต่พี่เลิฟ น้องรัก และคนใกล้ชิด วนไปรับตำแหน่งต่างๆ จนหน้าช้ำ) ระยะหลังๆ ยังทำท่า “รังแกคนดี” อีกด้วย

กรณีของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เป็นตัวอย่างที่สร้างกระแสวิจารณ์สนั่นเมือง เพราะเข้าไปรับหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธฯ ด้วยอำนาจพิเศษตาม ม.44 พูดง่ายๆ คือนายกฯเลือกเอง เมื่อปลายเดือน ก.พ. ปรากฏว่าได้ทำหน้าที่แค่ 6 เดือนก็ถูกเด้งเก็บกรุเรียบร้อย

พ.ต.ท.พงศ์พร เขาก็เป็น ผบ.สำนักคดีที่ดีเอสไออยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ไปออก ม.44 โยกมานั่งเป็น ผอ.สำนักพุทธฯ เพราะเห็นว่ากลไกที่มีอยู่ในสำนักงานแห่งนี้มันใช้ไม่ได้ จัดการกับวัดพระธรรมกายแบบ “เลี้ยงไข้-ลอยตัว” เมื่อ พ.ต.ท.พงศ์พร เข้าไปก็ขยับขับเคลื่อนกลไกให้คืบหน้าไปหลายอย่าง

ยิ่งกว่านั้นระยะเวลาแค่ 6 เดือน พ.ต.ท.พงศ์พร ยังโชว์ผลงานอื่นเป็นของแถม โดยเฉพาะการปราบทุจริต “เงินทอนวัด” ซึ่งไม่ใช่มีแค่ที่ปรากฏเป็นข่าวแค่สิบกว่าวัด งบเกือบๆ ร้อยล้าน เพราะเมื่อพลิกดูแฟ้มผลงาน พบว่ายังเข้าไปตรวจสอบงบอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่มีการอ้าง “ตัวเลขผี” ทั้งที่ไม่มีผู้เรียนจริง บางแห่งไม่มีเปิดการเรียนการสอนจริงด้วยซ้ำ แค่ไม่กี่เดือนประหยัดงบไปได้อีก 101 ล้าน แต่คนแบบนี้กลับอยู่ในตำแหน่งไม่ได้!

เอาเถอะ...พอเข้าใจในเรื่องปัญหาคาใจกับ “พระผู้ใหญ่” ที่หากรัฐบาลปล่อยคาราคาซังต่อไป อาจกระทบพิธีใหญ่ของบ้านเมือง แต่หากจะย้ายก็ย้ายกันแบบไว้หน้าหน่อยได้ไหม ไม่ใช่ให้ไปเข้ากรุผู้ตรวจฯ จนเกิดคำถามว่าถ้า พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ใช่คนดีมีความสามารถที่รัฐบาล คสช.ควรเลือกใช้หรือ แล้วทำไมเมื่อ 6 เดือนก่อนถึงขั้นต้องใช้ ม.44 บินมาให้นั่งตำแหน่งนี้

แล้วปัญหาเงินทอนวัด งบอุดหนุนโรงเรียนปริยัติฯ ตลอดจนงบเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ล้วนเจอหลักฐาน “คอร์รัปชัน” กับเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง “มาเฟียในวงการศาสนา” ไม่ทราบว่า คสช.จะแก้อย่างไร หรือปล่อยให้เงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง

ทีสื่อมวลชนแฉโพยโครงการทุจริตมากมายที่ชายแดนใต้ ท่านนายกฯไม่เห็นเด้งใคร ยังนั่งหน้าสลอนกันสุขสบาย...หรือเพราะ “คสช.” แปลว่า “คนดีสุดช้ำ”