คิมจองอึนต้องการอะไร?

คิมจองอึนต้องการอะไร?

นี่เป็นคำถามที่ทุกคนกำลังหาคำตอบ เพราะถ้ารู้คำตอบก็อาจจะหาทางป้องกันสงครามนิวเคลียร์ครั้งใหม่ได้

ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามว่าโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการอะไร?

เป็นคำถามที่อาจจะหาคำตอบได้ง่ายกว่าเพราะอย่างน้อยเขาก็แสดงออกผ่านสื่อหลายทาง แม้ว่าจะเป็นสารที่ค่อนข้างสับสน ยากต่อการวิเคราะห์

คิมน้อยปีนี้อายุ 33 อยู่ในตำแหน่งมา 6 ปี ทุกอย่างที่ทำในฐานะผู้นำของประเทศคอมมิวนิสต์เข้มข้นสุดท้ายของโลกชี้ไปในทางที่ต้องการจะใช้การพัฒนาอาวุธร้ายแรงเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง, เรียกร้องความสนใจและปกป้องสถานภาพของตัวเอง

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือคิมต้องการให้สหรัฐปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้เท่าเทียม และเลิกคิดจะล้มล้างระบบของเกาหลีเหนือ

ที่ดูเหมือนจะสำคัญที่สุดคือการที่เขากลัวว่าจะถูกเก็บโดยสหรัฐฯร่วมมือกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียพูดได้ตรงประเด็นเมื่อเขาบอกเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าคิมน้อยรู้สึก

“ไม่มั่นคง” เพราะกลัวว่าทรัมป์จะเก็บเขาเหมือนที่อเมริกาเคยจัดการกับซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรักและมูมาร์ กัดดาฟีของลิเบีย

นักข่าวซีเอ็นเอ็นที่ได้รับอนุญาตให้รายงานจากเปียงยางระยะหนึ่งอ้างคำพูดของโฆษกเกาหลีเหนือว่า

“ที่เกาหลีเหนือต้องสร้างอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะต้องการป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม”

ความหมายก็คือว่าหากอเมริกาและชาติอื่นเห็นว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธทันสมัยแล้วก็จะไม่คิดที่จะมาคุกคามหรือแทรกแซงซึ่งก็จะทำให้เปียงยางไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่ตนพัฒนาขึ้นมาเปิดศึกกับใคร

เป็นตรรกะที่ค่อนข้างจะพิสดารเพราะยิ่งคิมน้อยเดินหน้ายกระดับศักยภาพอาวุธร้ายแรงของตัวเองมากเพียงใด ก็จะยิ่งเท่ากับยั่วยุให้ประเทศอื่นต้องหาทางระงับความพยายามที่เป็นอันตรายนั้น

นักวิเคราะห์ในอเมริกาบางคนมองว่าแผนสร้างนิวเคลียร์ของคิมมิใช่มีเหตุผลเพื่อการตั้งรับเท่านั้น หากแต่เป็นการเปิดฉากทางรุกด้วย

นั่นอาจจะแปลได้ว่าผู้นำโสมแดงคนนี้กำลังจะใช้การพัฒนาอาวุธร้ายแรงนั้นเพื่อการต่อรองกับสหรัฐ...ถึงขั้นที่เป็นการ “แบล็กเมล์” ให้อเมริกาต้องยอมทั้งด้านการเมือง การเงินและความมั่นคง

คิมจองอึนคงประเมินเองว่าหากสหรัฐฯรู้ว่าขีปนาวุธล่าสุดของเกาหลีเหนือได้ถูกยกระดับถึงขั้นพิสัยไกลหรือ ICBM แล้ว สามารถจะโจมตีไม่เพียงแต่เกาะกวมเท่านั้น หากแต่ยังสามารถถล่มถึงเมืองใหญ่เช่นนิวยอร์ค, ลอสเองเจลิสหรือชิคาโกได้ อเมริกาก็จะต้องยอมตามเงื่อนของเกาหลีเหนือในหลาย ๆ เรื่อง

นั่นอาจจะเป็นวิธีคิดของคิมน้อยที่ค่อนข้างจะผิดแผกไปจากแนวทางของชาติอื่น ๆ ที่มองว่าเมื่อเปียงยางจงใจละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคง และมิหนำซ้ำยังทำให้ทั้งจีนและรัสเซียซึ่งเคยเป็นพันธมิตรสนิทสนมรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย คิมน้อยย่อมจะตกอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยวมากกว่าที่จะสามารถเล่นเกมตาต่อตาฟันตาฟันกับอเมริกาได้

เป็นไปได้ไหมว่าที่คิมน้อยทำอะไรฝืนกระแสโลกเช่นนี้ก็เพื่อจะยกฐานะตัวเองในเวทีระหว่างประเทศ นั่นคือให้ทั้งอเมริกาและจีนต้องยอมรับว่าเกาหลีเหนือมีสถานภาพในเวทีการเมืองระหว่างประเทศเท่าเทียมกับมหาอำนาจทั้งหลาย

หรือเหตุผลทั้งหมดที่ยกมานี้ล้วนมีส่วนจริงทั้งสิ้น ต่างกันก็แต่สัดส่วนของเหตุผลแต่ละด้านในจังหวะเวลาที่ต่างกันเท่านั้น

คำถามต่อมาก็คือว่าหากหากเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่คิมจองอึนต้องการ ประชาคมโลกจะยอมให้เขาได้สิ่งเหล่านั้นหรือไม่ หรือถ้ายอมจะยอมมากน้อยเพียงใด

คำถามใหญ่กว่านั้นก็คือว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ยอมให้คิมน้อยบรรลุเป้าหมายบางประการหรือทั้งหมด อเมริกาจะระงับยับยั้งไม่ให้ผู้นำโสมแดงคนนี้เดินหน้าลั่นกลองรบอย่างที่เรากำลังประสบขณะนี้อย่างไร?

คำตอบวันนี้คือเรายังไม่รู้ว่าทรัมป์กำลังจะใช้กำลังกับคิมเมื่อไหร่ และหากใช้จะใช้มากน้อยเพียงใด

ที่รู้แน่ ๆ คือสีจิ้นผิงของจีนและวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียได้จับกันประกาศว่าทั้งทรัมป์และคิมกำลังเล่นเกมที่อันตรายมาก และโลกกำลังยืนอยู่ตรงริมหุบเหวที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่หยุดและไม่ถอยกันคนละก้าว ความหายนะครั้งนี้จะมีผลต่อทั้งโลก

เพราะนี่มิใช่เพียงแค่เรื่องของคิมกับทรัมป์สองคนเท่านั้น!