“ศุกร์”สันต์หรรษา “เอาเบี้ยแลก ขุน”

“ศุกร์”สันต์หรรษา “เอาเบี้ยแลก ขุน”

สัจธรรมหนึ่งในความเป็นจริงทาง “การเมือง” นอกจากที่มักพูดกันว่า”ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร”แล้วยังมีคำพูดอื่นๆ ที่ได้ยินได้ฟังกันอย่างคุ้นชิน

อาทิ “เสร็จศึกฆ่าขุนพล” “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ไม่มีอยู่จริงในโลก การเมือง” หรือ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” อันนี้มีหลายกรณีได้สะท้อนว่าการเมืองคือการเลือกใช้โอกาสให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับตัวของคนที่เป็นนักการเมืองเสมอ นอกจากนี้ยังมีทั้งนักวิชาการและนักคิดนักเขียนกล่าวกันว่า “การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์” “การเมืองในบางสถานการณ์สามารถสร้างวีรบุรุษได้” เหล่านี้คือตัวอย่างบางส่วนเพื่อปลอบประโลมใจทุกฝ่ายที่เฝ้าติดตามการตัดสินคดีจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ต่างกับการมีมหกรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจ ได้คิดได้ไตร่ตรองดู

แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนวงนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ที่มีทั้งกองเชียร์ ทั้งคนที่ชอบมองโลกสวยงาม ก็น่าจะได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงทางการเมือง เดิมพันแห่งอำนาจนั้นสูงมาก เมื่อมีปัญหาการไม่มาศาลของคุณยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้น หลายฝ่ายต่างพากันความหาต้นสายปลายเหตุ พยายามจะมองไปถึง "คนผิด“ โยนกันไปทุกทิศทุกทาง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สังคมสามารถวินิจฉัยหรือพิจารณากันได้ด้วยความเป็นวิญญูชน ที่มีสามัญสำนึกไตร่ตรองพิจารณาว่ากันไปตามเนื้อผ้าและประสบการณ์ของแต่ละท่าน 

ต้องเรียนว่าในแง่ของกระบวนการยุติธรรมเท่าที่ประเมินดู เชื่อว่าเขาก็ทำตามหลักการที่กฎหมายกำหนดให้อย่างเคร่งครัด แต่ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายดูเหมือนจะกลายเป็น “จำเลยของสังคม” อีกเช่นเคย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีผู้คนหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบกันหลายหน่วยงาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นไล่เรียงไปแล้ว ทุกฝ่ายคงต้องมองตากันปริบๆ เพราะเป็นคดีที่สังคมจับตามองอย่างใกล้ชิด 

รวมทั้งมีความคาดหวังสูงในทั้งฝ่าย “ผู้กล่าวหา” และ “ผู้ถูกกล่าวหา” เมื่อสภาพการณ์เป็นดังที่ปรากฏ ทุกฝ่ายที่เป็นผู้ปฎิบัติจงทำใจยอมรับเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้น แต่ไม่อยากให้คิดกันง่ายๆ ว่า “ไม่เป็นไร เวลาผ่านไปประเดี๋ยวก็ลืมกันไปเอง

รัฐบาลเองก็อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลแก้ไขปัญหาทั้งส่วนของเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบกับเรื่องดังกล่าว และยังต้องติดตามดำเนินคดีไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ มีความพยายามจากหลายฝ่ายต้องการให้เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่นำไปสู่ความปรองดองในสังคมไทยได้ในขั้นหนึ่ง เรื่องนี้สุดแต่ท่านทั้งหลายจะพิจารณาเห็นด้วยเห็นต่างกันอย่างไร

เวลานี้ผู้คนเชื่อกันแบบไม่ต้องทำโพลล์หรือสำรวจความคิดเห็นก็น่าจะบอกได้ว่า ร้อยละเกิน 80%ขึ้นไปเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปยังต่างประเทศแล้ว และวันที่ 27 ก.ย. 2560 น่าจะไม่เห็นคุณยิ่งลักษณ์ ปรากฏตัวมารับฟังคำพิพากษาคดีตามที่ทางศาลได้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันนั้น 

และเชื่ออีกว่า ก่อนถึงวันกำหนดนัด น่าจะมีความชัดเจนถึงถิ่นฐานที่อยู่ ที่จะต้องมีภาพถ่ายหรือเป็นไปในลักษณะของ “ข่าวลึกลับเฉพาะของคนวงใน” เผยผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งไลน์ทั้งเว็ปไซต์พิเศษ แม้แต่ “คอลัมน์ซุบซิบทางสังคม” ปล่อยออกมาได้ หรืออาจมีคำแถลงการณ์บางประการถึงเหตุและผลของการไม่มาศาลของคุณยิ่งลักษณ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ส.ค. ที่กำลังจะเวียนมาครบหนึ่งสัปดาห์ในวันศุกร์นี้ โดยฝ่ายผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวว่า เป็นไปด้วยเหตุผลกลใด

ที่น่าเห็นใจคือบรรดา คนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปสนับสนุนยังโรงศาลกันตั้งแต่ตี 3 ตี 4 บรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ เราตอบแทนไม่ได้ว่าเขารู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้หรือไม่ แต่หากมองด้วยสีหน้าสีตาต้องบอกว่า หากรู้ล่วงหน้าแล้วมีสีหน้าสีตาอย่างที่เห็นก็ต้องบอกว่าทำได้เนียนหรือตีบทแตกอย่างที่ดารานักแสดงคงจะเทียบชั้นได้ยาก เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าคนเหล่านี้น่าจะมาด้วยใจบริสุทธิ์อยากจะมาร่วมให้กำลังใจหรือแสดงมุทิตาจิตต่อคนที่ตนรักและศรัทธา 

แต่เมื่อกลายเป็นหนังคนละม้วนอย่างที่สื่อหลายสื่อหรือกระทั่งมวลชนบางกลุ่มบางคนไปพูดถึงขนาดเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจกับผู้คนทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามอย่างที่ว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วเปรียบไปอย่างไรก็ไม่ต่างจาก “เบี้ย” บนกระดานหมากรุกที่ จะเป็นจะตายอย่างไร ต้องรักษา “ขุน” เอาไว้อย่างสุดชีวิต ไม่ว่าจะต้องแลก “เบี้ย” กันไปกี่ชีวิต หรือแลกเบี้ยไปด้วยวิธีการใด

เรื่องนี้เป็น “อีกหนึ่งบทเรียน” ที่เราเองคงต้องมองย้อนดูกระบวนวิธีการที่เป็นอยู่ว่ามีอะไรบกพร่อง เงินที่ริบนายประกัน 30 ล้านบาท กับคดีแสนล้าน ดูจะน้อยเกินไปหรือไม่ คนแวดล้อมญาติพี่น้องคนใกล้ชิดรวมทั้งฝ่ายช่วยเหลือทางคดีของทางจำเลย ดูเหมือนไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เป็นปกติ จะถึงเวลาหรือยังที่จะต้องทบทวนดูว่า ในแง่ศีลธรรมจรรยาจะมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่กระตุ้นจิตสำนึกคนในสังคมได้บ้าง 

ทำให้คนที่อยู่ใกล้ต้องรู้สึกเกรงกลัวหรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้น พวกเขาต้องได้รับผลกระทบด้วยในทางใดทางหนึ่ง เช่นเดียวกับคดีสำคัญอีกคดีที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปกรณีบุตรชายนักธุรกิจแสนล้านขับรถชนตำรวจเสียชีวิตหลบหนีคดีเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เชื่อได้ว่าในวันที่ 3 ก.ย. ที่จะถึงนี้มีแนวโน้มชัดเจนว่าข้อหาไม่หยุดรถช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บหรือประสบเหตุอันเกิดจากการขับขี่ยวดยานของตนกำลังจะผ่านพ้นไปโดยไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้อีกหนึ่งคดี สะท้อนให้เห็นแจ่มชัดยิ่งขึ้นว่า เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่น่าจะต้องใช้เวลาอีกนาน นานกว่าที่ผมเคยคิดฝันว่าสังคมไทยจะก้าวข้ามผ่านบางสิ่งบางอย่างไปได้ในระยะเวลาที่เราอยากเห็น

จึงอยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจท่านทั้งหลายโดยให้กลับไปอ่านบรรดา “คำคม” หรือ “คติพจน์ทางการเมือง” ที่ผมคัดสรรบางส่วนมาให้ได้คิดกันในย่อหน้าแรก ท่านทั้งหลายจะได้ไม่รักหรือลุ่มหลงอะไรกันมากเกินงาม เพราะสัจธรรมทางการเมืองย่อมเป็นดังสิ่งที่ผมสาธยายอธิบายความมาอย่างถ้วนทั่วนั้นแล