เมื่อเผชิญภาวะวิกฤติ...

เมื่อเผชิญภาวะวิกฤติ...

แทบทุกบริษัท ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แม้กระทั่ง Start Up ที่เพิ่งเริ่มต้นต่างก็ต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤติ

หลายๆที่ เผชิญสภาวะวิกฤติหลายครั้งด้วยซ้ำ แต่ก็ยังผ่านพ้นมาได้ (ยังไม่เคยปรากฏว่า ธุรกิจใดในโลกนี้ที่ก่อตั้งแล้วเจริญเติบโตมาได้อย่างราบรื่นโดยไม่เคยเผชิญปัญหาหรือวิกฤติ!)

วิกฤติที่แต่ละที่เผชิญ ส่วนมากจะเกิดขึ้นเพราะภาวะเศรษฐกิจ บ้างก็เกิดจากภัยธรรมชาติ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่นเกิดการ Disruption จากเทคโนโลยี /Digital Transformation แล้วส่งผลกระทบมาถึงองค์กร

แต่ก็มีบ้างที่วิกฤติเกิดขึ้น เกิดจากปัจจัยภายใน (เช่น ขยายตัวรวดเร็วเกินไป หรือไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆเพิ่มโดยที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ) หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น การควบกิจการ เป็นต้น

เมื่อบริษัทเผชิญวิกฤติระดับใดก็ตามไม่ว่าเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร..

ผู้นำทุกระดับขององค์กร และผู้นำของทุกหน่วยงานในองค์กร เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรนั้นๆผ่านวิกฤติได้หรือไม่ !?

ธรรมชาติของวิกฤติ จะทำให้เกิดความ ตระหนก-ตื่นกลัว” และคิดไปในแง่ร้ายต่างๆ ของพนักงานทุกระดับไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงลงไปผู้บริหารระดับกลางและระดับปฏิบัติการกันแทบทุกคน!

ถ้าจะผ่านวิกฤติไปให้ได้(ไม่ว่าวิกฤตินั้นจะเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายในก็ตาม)...

ผู้นำทุกระดับของทุกหน่วยงาน จะต้องเป็นกลุ่มแรกๆที่ต้องไม่ ตระหนกหรือตื่นกลัว!

เพราะถ้าผู้นำทุกระดับ ตระหนก ตื่นกลัว จะเกิดสภาวะโกลาหล อลหม่านที่เริ่มจากหน่วยงานนั้นๆลามไปจนถึงแทบทุกหน่วยงานอย่างรวดเร็ว (ข่าวลือ ข่าวร้าย..ที่อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง มักจะเกิดขึ้นและลุกลามอย่างรวดเร็วในสถานการณ์แบบนี้!)

ธรรมชาติของคน...ย่อมมีความตระหนก ความกลัว ผู้นำทุกระดับก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน..

แต่ในบทบาทผู้นำ (ทุกระดับทุกหน่วยงาน) ในสถานการณ์แบบนี้...

ต้องไม่แสดงออกถึงความตระหนก ความกลัวออกมาให้ทุกคนโดยเฉพาะลูกน้องในหน่วยงานเห็น!(ไม่ว่าในใจจะกลัว จะมองไม่เห็นอนาคต หรือจะหวาดหวั่นแค่ไหนก็ตาม!) เพราะ คำว่า “ผู้นำ” ทีม หรือผู้นำหน่วยงาน หรือผู้นำองค์กร... ค้ำคออยู่ให้เชิดหน้า จะคอตกไม่ได้!

นอกจากจะต้องไม่แสดงออกถึงความหวาดหวั่น วิตกแล้ว... ยังต้องแสดงออกถึงความเชื่อมั่นว่า

สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป... และปลุกเร้าคนในทีมให้เลิกวิตกกังวล ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ให้เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ของทุกคนในทีม และทำหน้าที่ปัจจุบันของแต่ละคนให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยทุกคนในทีม ก็ได้หลอมรวมใจ สู้ไปด้วยกัน จะไปนั่งวิตกทั้งวันเพื่ออะไร!?

เชื่อหรือไม่...? ถ้าผู้นำทุกหน่วยงาน ทุกคนได้คิดได้ทำแบบนี้ นอกจากขวัญกำลังใจของคนในทีมจะกลับมาฮึกเหิมขึ้น ตัวผู้นำแต่ละคนจะรู้สึกลดหรือหมดความวิตก ความหวาดกลัว และเชื่อมั่นในตนเองขึ้นมามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (คนที่เคยผ่านตรงนี้จะรู้ดีว่า เป็นแบบนี้จริงๆ!)

และไม่ว่าวิกฤตินั้นจะรุนแรงขนาดใด เป็นวิกฤติที่เกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอกก็ตาม..

ในท้ายที่สุด ถ้าช่วยกันคิดช่วยกันแก้ ช่วยกันทำ ส่วนมากจะผ่านพ้นมาได้

แต่ต่อให้วิกฤตินั้น ส่งผลกระทบจนทำให้หลายๆคน หลายๆหน่วยงานต้องถูกยุบ ต้องถูกเลิกจ้าง ต้องแยกย้ายกันไป... คนที่พยายามสู้เต็มที่แล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกัน มีวัคซีน ที่ทำให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อไปรับมือกับโลกภายนอก หรือองค์กรอื่นๆในอนาคตข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม เพราะผ่านการหล่อหลอมหัวจิตหัวใจในสภาวะวิกฤติมาแล้ว.

ไม่มีใครหรือองค์กรใดอยากเผชิญกับสภาวะวิกฤติ...

แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเผชิญ....ก็อย่าเสียเวลาไปนั่งหวาดหวั่น วิตกจริตให้มากเกินไป

เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทุกๆคนบนโลกนี้ ล้วนต้องเผชิญและเคยผ่านสถานการณ์วิกฤติหรือเลวร้ายมาทุกคน จนหล่อหลอมให้กลายมาเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารมือปืนรับจ้าง(ทั้งระดับภูมิภาค ระดับชาติ หรือระดับโลก) จนถึงทุกวันนี้

เพราะฉะนั้น...

ใช้ภาวะผู้นำของตนเอง(ของทุกระดับ/ทุกหน่วยงาน) นำทีมของท่านให้ผ่านมรสุมในช่วงนี้ไปให้ได้

ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นยังไง ท่านจะไม่มีทางสำนึกเสียใจอย่างแน่นอน เพราะท่านและทีมของท่านได้สู้อย่างถึงที่สุดแล้ว

... ขอให้โชคดีครับ!