รถ Tesla Model 3 “changes everything”

รถ Tesla Model 3 “changes everything”

ปกติเราจะเห็น Bloomberg รายงานข่าวเรื่องธุรกิจการเงินแต่เมื่อรถไฟฟ้า Tesla Model 3 เริ่มออกมาสู่ตลาด

Bloomberg ได้ทดสอบขับอย่างละเอียดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. และสรุปว่า “We took one out for a spin, and have little doubt the age of electric cars has arrived.”

Tesla ผลิตรถไฟฟ้ามานานกว่า 10 ปี แล้ว แต่ในอดีตนั้นเป็นรถยนต์พิเศษที่ราคาแพงเกินที่ชนชั้นกลางจะเป็นเจ้าของได้ เช่นรถ Mosel S SP100 D ซึ่งเป็นรถโดยสาร 4 ประตู (เหมือนกับรถเบนซ์รุ่น S Class หรือ บีเอ็มดับเบิลยู Series 7) มีราคาสูงถึง 140,000 ดอลลาร์ แต่ก็มีอัตราเร่งเทียบเท่ากับรถ Super Car เช่น Ferrari กล่าวคือ เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที (รถปกติที่ใช้เวลา 7-9 วินาทีก็ถือว่าอัตราเร่งดีมากแล้ว)

เมื่อ Tesla ประกาศให้จอง Model 3 เมื่อปีที่แล้ว โดยให้วางเงินจอง 1,000 ดอลลาร์ ปรากฏว่ามีคนจอง 518,000 ราย ทำให้ผู้บริหารของบริษัทรถทั่วโลกเดือดร้อน เพราะถูกผู้ถือหุ้นตำหนิอย่างรุนแรงว่าปล่อยโอกาสในการผลิตสินค้าที่มีความต้องการอย่างท่วมท้นนี้ไปให้กับ Tesla เจ้าเดียวได้อย่างไร ผลพวงคือในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจะเห็นรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ออกมาขายอีก 20-30 รุ่น ทั้งนี้หมายถึงรถที่มีแต่เครื่องไฟฟ้า (Pure EV) เพราะที่เป็นลูกผสม(Hybrid) กล่าวคือมีทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และเครื่องไฟฟ้า (EV) ในความเห็นของผมนั้น ระบบลูกผสมน่าจะเป็นเพียงเทคโนโลยีทางผ่าน เพราะทำให้รถยนต์มีเครื่องถึง 2 ระบบ จึงจะมีความสลับซับซ้อน และต้นทุนสูงเกินควร ดังนั้นจึงควรมาประเมินว่ารถ EV เช่น Tesla นั้น จะมีศักยภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ จนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของรถยนต์ในอนาคตหรือไม่

Tesla เพิ่งเริ่มส่งมอบรถ Model 3 และจะต้องใช้เวลาทยอยมอบรถให้กับผู้ที่จองรถอีกยาวนานกว่า 2 ปี แปลว่าคนที่จองรถ Model 3นั้น ต้องรอรถนานเกือบ 4 ปี ทำให้บางคนถอนใบจองเหลือ 455,000 คัน แต่ก็ยังแปลว่า Tesla ได้รับเงินจอง (คันละ 1,000 ดอลลาร์) เป็นเงินสดมากถึง 455 ล้านดอลลาร์ (15,000 ล้านบาท) และเนื่องจาก Model 3 มีราคาขายขั้นต่ำ 35,000 ดอลลาร์ แปลว่า Tesla จะมียอดขายอย่างน้อยเกือบ 16,000 ล้านดอลลาร์ (530,000 ล้านบาท) ซึ่งทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า Bloomberg จึงกล่าวว่า Model 3 “changes everything” โดยก่อนหน้านั้นนิตยสาร Motor Trend (28 ก.ค. 2017) กล่าวว่า “The Tesla Model 3…is the most important vehicle of the century…Magic, I’m telling you. Magic.” ทั้งนี้ในสหรัฐนั้น รถ Model 3 ถูกนำมาเปรียบเทียบกับรถ Benz และ BMW ซึ่งมีรายละเอียดสำคัญบางประการดังนี้ : 

จะเห็นได้จากตัวเลขข้างต้นว่ารถ Model3 ไม่แพงกว่ารถคู่แข่งจากประเทศเยอรมนี และมีสมรรถนะดีกว่าสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่า(มาก) มีการรับประกันเครื่องยนต์ที่ยาวนานกว่าและยังมีห้องเก็บของที่ใหญ่กว่าอีกด้วย (เพราะเครื่องไฟฟ้าเล็กกว่า ICE มาก) ทั้งนี้ข้อกังวลดั้งเดิมคือ รถไฟฟ้าจะขับไปไม่ได้ไกลนั้นก็เลิกห่วงได้เพราะสามารถขับ Model 3 ไปได้ 350 ก.ม.ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งและหากเพิ่มเงินอีก 9,000 ดอลลาร์ก็จะไปได้ถึง 500 กม./ครั้ง เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกใจที่บริษัทรถยนต์อย่างน้อย 12 บริษัทจะผลิตรถ EV และ Hybrid ออกมาอีกกว่า 20 รุ่นภายในปี 2020 บางบริษัทเช่น ฟอร์ด วางแผนจะมีรถ EV ให้เลือก 13 รุ่น ภายในปี 2022 และออดี้ คาดว่ารถ EV จะมีสัดส่วน25%ของยอดขายรถออดี้ทั้งหมดในปี 2025 ทั้งนี้แม้ว่าปัจจุบันรถ EV และ Hybrid นั้น มียอดขายเพียง 1% ของยอดขายรถทั้งโลกในปีที่ผ่านมา

อันที่จริงแล้วรถ EV ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1834 ก่อนเครื่อง ICE ถึง 43 ปี และรถไฟฟ้าเคยมียอดขายสูงกว่ารถประเภทอื่นๆ ทั้งหมดเมื่อปี ค.ศ.1900 คือ 285 คันจากยอดขายรถทั้งสิ้น 4,192 คันในสหรัฐ ทั้งนี้ยอดขายรถ EV เริ่มตกต่ำลงหลังปี 1912 เพราะการประดิษฐ์และติดตั้งสตาร์ทเตอร์ไฟฟ้าในรถ ICE ตั้งแต่ปี 1912 เป็นต้นมา

แต่ปัจจัยที่จะทำให้รถ EV ทดแทนรถ ICE ในอนาคตได้นั้นคือ ต้นทุนแบตเตอรี่ (เพราะเครื่องไฟฟ้านั้นดีกว่า ถูกกว่า ทนกว่าและซ่อมง่ายกว่า ICE อยู่เป็นเกณฑ์แล้ว) โดยหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal (12 ก.ค. 2017) ซึ่งเป็นฝ่ายไม่ค่อยเชื่อว่า EV จะมาทดแทน ICE ได้ประเมินว่าแม้ราคาแบตเตอรี่จะลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 1,000 ดอลลาร์/kwh ในปี 2010 มาเป็น 273 ดอลลาร์/kwh ในปี 2016 ก็จริง แต่ก็ยังทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ในรถยนต์สูงถึงคันละ 20,000ดอลลาร์ ดังนั้น ประเด็นหลักคือ ราคาแบตเตอรี่จะลดลงได้รวดเร็วเพียงใดในอนาคต เช่นหากต้นทุนแบตเตอรี่ลดลง 10% ต่อปี รถ EV ก็จะทดแทนรถ ICE ได้ภายในเวลาประมาณ 10 ปี แต่หากราคาแบตเตอรี่ลดลงเฉลี่ย 5% ต่อปี ก็อาจต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปีเป็นต้น แต่ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันด้วยว่าจะปรับขึ้นหรือปรับลงจากที่ปัจจุบันเฉลี่ย 50-70ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือไม่ ในขณะที่เครื่อง ICE นั้น ก็มีวิวัฒนาการทำให้อัตราการสิ้นเปลืองลดลงเฉลี่ยปีละประมาณ 2% เช่นกัน