ไทยในอุ้งมือจีน

ไทยในอุ้งมือจีน

เห็นข่าวรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44

 ประเคนรถไฟความเร็วสูงสายแรก “กรุงเทพฯ-นครราชสีมา” ให้จีน ด้วยเงื่อนไขสุดพิเศษ ยกเว้นกฎหมายทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่กฎหมายฮั้วประมูล และการยอมให้ใช้วิศวกรและสถาปนิกจากจีนทั้งหมดแล้ว ทำให้นึกถึงคำเรียกขานพี่ไทยว่า “เซียมหล่อตือ” หรือ “หมูสยาม” ดังที่วงดนตรีเพื่อชีวิต “คาราบาว” เคยขับขานเอาไว้

ไล่เรียงดูโครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากจีน ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้แล้วจะตกใจ เริ่มจากโครงการจัดซื้อรถถัง VT4 จากจีนล็อตแรกเมื่อปี 59 งบประมาณราวๆ 4,900 ล้านบาท ตามด้วยล็อต 2 ที่เพิ่งเข้า ครม.ไปเมื่อเดือน เม.ย.60 และล็อต 3 คงตามมาอีกไม่ช้า เพราะทั้งโครงการจะจัดซื้อ 3 ล็อต 49 คัน งบรวม 9,000 ล้านบาท

โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนลำแรก เข้าครม.ด้วย “เอกสารมุมแดง” เมื่อ เม.ย.60 งบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ทั้งโครงการมี 3 ลำ งบรวม 36,000 ล้านบาท ขณะที่เมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ครม.เพิ่งอนุมัติซื้อรถเกราะล้อยาง รุ่น วีเอ็น 1 จากจีนอีก 34 คัน งบประมาณ 2,300 ล้านบาท

หมดงบซื้ออาวุธเพื่อยืนยันมิตรภาพอันแนบแน่นราวๆ 5 หมื่นล้านบาท แต่แล้วรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยกสิทธิพิเศษแบบหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วให้กับจีน ในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายประวัติศาสตร์ โดยไม่เปิดประมูล ทั้งๆ ที่ไทยลงทุนเอง

สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าจากการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองในยุคนี้ ที่เอื้อประโยชน์ให้จีนอย่างมหาศาล ก็คืออนุสาวรีย์ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ หากโครงการต่างๆ ที่ทำเอาไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า หรือไทยไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

เช่น รถไฟความเร็วสูงสายแรกเจ๊ง หรือต้องจำยอมทำสัญญาสร้างต่อไปถึงหนองคาย โดยประเคนสิทธิพิเศษให้จีนเหมือนกับที่รัฐบาลชุดนี้ทำ, เรือดำน้ำลำแรกที่ซื้อจากจีนไม่ดีอย่างที่คิด แล้วจำยอมต้องซื้อต่ออีก 2 ลำที่เหลือ, รถถังและรถหุ้มเกราะล้อยางใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซ้ำยังต้องพึ่งพาอะไหล่และการซ่อมจากจีนตลอดอายุการใช้งาน ฯลฯ

เรียกว่ารัฐบาลชุดต่อจากท่าน และคนไทยที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไปหลังท่านหมดอำนาจไปแล้ว นอกจากจะต้องอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ท่านวางเอาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้ ยังต้องทนรับความเสียหายจากการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ไม่รอบคอบเช่นนี้... ไปอีกนานเท่านาน