เลิกกดดัน ขมขู่ ดุด่า แล้วงานจะดีขึ้นเอง

เลิกกดดัน ขมขู่ ดุด่า แล้วงานจะดีขึ้นเอง

ความเชื่อที่ว่าด่ามาก ๆแล้วลูกน้องจะได้ดี ดุมากๆ แล้วงานจะดีขึ้น

 เป็นความเชื่อที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าไม่เป็นความจริง เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ยิ่งทำยิ่งแย่ ด่าจนกลับตัวกลับใจมีแต่ในนิยาย แต่ในชีวิตจริงพบเห็นน้อยมาก ผู้บริหารบางคนคิดว่าการสร้างแรงกดดันมากๆ จะช่วยให้พนักงานพยายามทำงานให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น ซึ่งอาจได้ความคิดนี้มาตั้งแต่ครั้งเล่าเรียนมหาวิทยาลัยในบ้านเรา ที่บางคณะรับน้องใหม่กันแต่ละปี รุ่นพี่ต้องหาสารพัดหนทางมาสร้างแรงกดดันกับน้องใหม่ ด้วยความเชื่อว่าแรงกดดันประหลาด ๆที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นจะทำให้น้องใหม่มีความสามัคคี แน่นเหนียวผูกพันกันมากขึ้น ซึ่งก็พิสูจน์กันให้เห็นมากต่อมากแล้วว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ได้ให้ผลลัพธ์อย่างที่คาดหวังไว้

เมื่อเร็ว ๆนี้ นักวิจัยจากเยอรมนีได้ค้นพบความจริงที่แตกต่างไป จากความเชื่อที่ว่าต้องกดดันอย่างเพียงพอ งานจึงจะดีขึ้น นักวิจัยกลุ่มนี้ศึกษาการทำงานของสมอง ในภาวะที่ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน และพบความจริงว่า การทำงานดีขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากการกดดัน แต่มาจากความสบายอกสบายใจในการทำงานนั้นมากกว่า ในทางตรงข้าม สภาพกดดันที่ผู้บริหารสร้างขึ้นกลับไปลดขีดความสามารถของสมองในการคิดแก้ไขปัญหา หรือคิดสิ่งใหม่ของใหม่ ยิ่งกดดันสมองยิ่งคิดอะไรใหม่ ๆได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เราอาจเคยเห็นการทำงานแบบกลัวลนลาน ที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด ยิ่งกดดัน ยิ่งเสียหาย 

 แรงกดดันต่อการงานมาก ๆนั้น มีประโยชน์เฉพาะกับงานที่ต้องใช้กำลังเรี่ยวแรงเป็นสำคัญ เพราะพบว่าแรงกดดันทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการใช้กำลังทำงานได้ดีขึ้น เท่า ๆกับที่ทำให้สมองส่วนที่คิดสร้างสรรค์ทำงานลดลง

การกดดัน ข่มขู่ของผู้บริหารทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นลบในตัวคนทำงาน ซึ่งความรู้สึกเป็นลบนี้นอกจากจะสร้างความท้อถอย ความน้อยใจ และความผิดหวังให้เกิดขึ้นแล้ว ยังทำให้สมองต้องแบ่งการหน้าที่ไปใช้ดูแลแก้ไขความรู้สึกดังกล่าว ควบคู่ไปการคิดทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นตามที่ถูกกดดันมา สมองเดียวแต่ต้องทำงานหลายอย่าง ถ้าทั้งน้อยใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งท้อถอยผสมอยู่กับการทำงาน สมองเหลือแค่หนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้นที่ยังใช้คิดการงานได้ โอกาสที่งานจะดีขึ้นจึงไม่น่าจะมี ดังนั้นถ้าอยากให้งานดีขึ้น โดยที่ไม่ได้เป็นการงานที่ต้องใช้พละกำลังไปต่อสู้อะไรกับใคร ให้ผู้บริหารสร้างบรรยากาศให้คนสามารถทำงานได้อย่างสบายอกสบายใจ ไม่ใช่มัวแต่ขู่จะปลด ขู่จะลดเงินเดือน

มักมีคำถามในเชิงค้านว่า ถ้ากดดันแล้วงานไม่ดีขึ้น แล้วจะทำอย่างไรงานจึงจะดีขึ้นได้ เพราะถ้าสบายอยู่แล้ว เดี่ยวก็ยิ่งเฉื่อยชากันใหญ่ คำตอบคือการให้รางวัล การยกย่องให้เกียรติ เมื่อทำงานการประสบความสำเร็จมากขึ้น มีผลขับเคลื่อนให้สมองส่วนสร้างสรรค์ทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นถ้าผู้บริหารอยากให้เกิดผลงานดีขึ้น ต้องฝึกตนเองให้รู้จักชื่นชม รู้จักยกย่อง รู้จักให้รางวัลกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น จะเล็กจะใหญ่ ขอให้แสดงความชื่นชมไว้ก่อน จะมีรางวัลอื่น ๆบ้างหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การให้การยกย่องเมื่อมีความสำเร็จเกิดขึ้นต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ผู้บริหารที่ออกหน้ารับความสำเร็จแต่เพียงผู้เดียว จากผลงานที่มาจากการทุ่มเทของลูกน้อง จะได้ผลงานธรรมดา ๆ ห้าปีสิบปีไม่มีอะไรดีขึ้น จนถูกแซงหน้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า แค่บอกว่าความสำเร็จของฉันวันนี้ มาจากพวกเธอทั้งหลาย การงานจะก้าวไกลขึ้นทันตาเห็น

นอกจากการให้การยกย่องแล้ว บรรยากาศในการทำงานที่ทุกคน หรืออย่างน้อยที่สุดคือคนส่วนใหญ่ รู้สึกปลอดภัยทางจิต ช่วยเพิ่มความสำเร็จได้มาก ซึ่งไม่ใช่แปลว่าทุกคนถือศีลปฏิบัติธรรมกันหมด ปล่อยวางกันไปหมด จนดุด่า ข่มขู่ไม่มีผลใด ๆ แต่เป็นบรรยากาศการทำงานที่เมื่อทำงานสำเร็จแล้วได้คำชื่นชม บรรยากาศที่ผิดพลาดไม่ได้หมายถึงคอขาดบาดตาย ไม่มีบรรยากาศที่ทำไม่ได้อย่างที่สั่งการในสามวันเจ็ดวันแล้วถูกย้ายแน่ ๆ คนสามารถทำงานได้ด้วยจิตใจปลอดภัยจากความกังวลเกี่ยวกับการตำหนิ การดุว่า หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้ผู้ถูกกระทำมีทุกข์ร้อนในรูปแบบต่าง ๆ ในขณะที่รู้สึกว่าได้รับการยอมรับและให้ความเชื่อถือจากผลงานของตน

จำไว้ว่าถ้าเป็นงานที่ใช้สมอง เจ้านายหน้ายักษ์ดุด่าทั้งวัน ไม่มีทางทำให้งานดีขึ้นได้