เลขคณิตเบื้องต้น ความรู้และบิล เกตส์

เลขคณิตเบื้องต้น ความรู้และบิล เกตส์

เมื่อเราเรียนจบชั้นการศึกษาพื้นฐาน เราต่างเข้าใจเรื่องบวกลบคูณหารและคิดร้อยละ หรือเปอร์เซนต์ (%) เป็นอย่างดี

 เรารู้ว่า 1+1 = 2; 10x10 = 100; 1 = 10% ของ 10; และ 2 = 2% ของ 100

แต่ตอนนั้น เราคงไม่รู้ว่าความรู้ที่เราได้ติดตัวมาเป็นร้อยละเท่าไร ของความรู้ที่มีอยู่ในโลก ลองสมมติดูง่าย ๆ ว่า เราเรียนจบเมื่อ 5 ปีก่อนและได้ความรู้ออกมา 1 ใน 10 หรือร้อยละ 10 ของความรู้ที่มีอยู่ทั้งหมด เรามิได้เรียนต่อ จึงออกมาทำงาน แต่เราไม่ทิ้งการเรียน หากยังติดตามอ่านข่าวสารและรายงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่ทยอยกันออกมาตามที่เวลาอำนวย หลังเวลาผ่านไป 5 ปี เรามีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นอีก 1 เท่าตัวของความรู้เก่าที่เราได้มา หรือเท่ากับ 1+1=2 เราภูมิใจในความรู้อันเกิดจากความพยายามของเรา

ในสมัยนี้ เยาวชนส่วนใหญ่เรียนต่อถึงชั้นอุดมศึกษา แต่เราไม่เปลี่ยนสมมติฐานนั้น นั่นคือ เขาได้ความรู้ออกมาร้อยละ 10 เช่นเดิมเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยและเขาพยายามเรียนรู้ต่อไปเมื่อออกมาทำงานเลี้ยงชีพ หลังเวลาผ่านไป 5 ปี เขาจึงมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เขาภูมิใจ แต่สิ่งที่เขาอาจไม่ตระหนักคือ ในเวลา 5 ปีนั้น เกิดอะไรขึ้นในองค์ความรู้

ถ้าเราติดตามดูเรื่องราวและพฤติกรรมของบิล เกตส์ ผู้มีมันสมองชั้นอัจฉริยะและเป็นมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลกก่อนอายุ 30 ปีจากการสร้างเทคโนโลยีใหม่ บนฐานความรู้ที่เขามีอยู่เมื่อตอนออกจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดก่อนเรียนจบปริญญา เราอาจสรุปได้ว่า ในช่วง 5 ปี องค์ความรู้ได้เพิ่มขึ้นไปแบบทวีคูณ นั่นคือ 10x10 = 100 นั่นหมายความว่า หลังเวลาผ่านไป 5 ปี ผู้จบมหาวิทยาลัยมีความรู้เพียงร้อยละ 2 ของความรู้ทั้งหมดเท่านั้นจากสัดส่วนที่เคยมีร้อยละ 10 เมื่อตอนเรียนจบ

ด้วยความตระหนักในความจริงข้อนี้ แต่ละปี บิล เกตส์ จึงใช้เวลาราวครั้งละ 1 สัปดาห์ ปีละ 2 ครั้ง ตัดขาดจากโลกภายนอกออกไปขังตัวอยู่คนเดียว ในเวลา 1 สัปดาห์นั้น เขาอ่านหนังสือเกือบจะทุกอย่างที่สะท้อนความคืบหน้าต่าง ๆ ขององค์ความรู้โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขาสามารถอ่านเข้าใจได้เพราะการมีมันสมองชั้นอัจฉริยะ เป้าหมายเบื้องต้นของเขาได้แก่การตามโลกให้ทันและใช้ความรู้ความเข้าใจนั้นดำเนินชีวิตซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากการทำธุรกิจในบริษัทไมโครซอฟท์ มาเป็นการบริหารจัดการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เขาบริจาคทรัพย์สินให้มูลนิธินั้นเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์แล้ว

โลกปัจจุบันเป็นไปในแนวที่เล่ามา นั่นคือ องค์ความรู้เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ในขณะที่เราสามารถเพิ่มความรู้ได้เพียงทีละน้อย ยิ่งเวลาผ่านนานไป สัดส่วนระหว่างความรู้ของเรากับองค์ความรู้ที่มีอยู่ในศาสตร์ต่าง ๆ ยิ่งน้อยลง ผลของสัจธรรมข้อนี้จะเป็นอย่างไรอาจมองได้จากหลายด้านด้วยกัน ด้านที่สำคัญสุดน่าจะได้แก่ ชีวิตเรามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เสี่ยงอย่างไรย้อนกลับไปในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต คนทราม 100 คนที่มีมีด ปืนและระเบิดเป็นอาวุธแต่อยู่คนละฟากโลกกับเราทำอะไรเราไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ คนทรามเพียงคนเดียวไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของโลกอาจทำร้ายเราได้โดยการส่งไวรัสเข้าไปในระบบอินเทอร์ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย ๆ จะเห็นว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีคนทรามส่งไวรัสเรียกค่าไถ่ไปถึงชาวโลกในนับร้อยประเทศ

ปรากฏการณ์นี้มองได้ว่ามีที่มาจากความไร้สมดุลอย่างร้ายแรงในฐาน 2 ด้านของสังคมมนุษย์ ได้แก่ ความรู้และคุณธรรม ฐานทั้งสองนี้ต้องมีความสมดุลกันหากมนุษยชาติหวังจะอยู่ได้ต่อไปอย่างยั่งยืน เมื่อฐานทางด้านคุณธรรมไม่แข็งแกร่งขึ้นพร้อม ๆ กับฐานทางด้านความรู้ที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ คนทรามเพียงคนเดียวอาจสร้างความเสียหายได้ทั่วโลก หรืออาจทำลายมนุษยชาติได้ ถ้าคนทรามคนนั้นถือรหัสอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศมหาอำนาจ จำพวกสหรัฐและรัสเซีย

ในหลายประเทศในปัจจุบัน ภาพของความเสี่ยงที่อ้างถึงนั้นดูจะยิ่งน่ากลัวขึ้นมาก เนื่องจากมีผู้นำที่ไม่ค่อยแสวงหาความรู้และซ้ำร้ายยังไร้คุณธรรม แล้วเราจะทำอย่างไร ? วันนี้ขอฝากให้ไปคิดเป็นการบ้าน