ขยับพอร์ตกองทุนรวม

ขยับพอร์ตกองทุนรวม

ขยับพอร์ตกองทุนรวม

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน เข้าสู่ฤดูฝนแล้วนะครับ และก็เป็นช่วงเริ่มต้นเปิดเทอม ช่วงนี้หลายท่านอาจยุ่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่เริ่มติดขัดมากขึ้น หรือภาระที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในช่วงนี้ที่มีความผันผวนหรือแกว่งตัวมากขึ้นกว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ แต่โดยรวม ๆ แล้วแนวโน้มของตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ตามการปรับตัวที่ดีขึ้นของตัวเลขเศรษฐกิจ มีแต่ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ที่ดูเหมือนจะผันผวนมากกว่าตลาดอื่นอยู่บ้าง

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกโดยรวม(จากดัชนี MSCI ACWI) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีกร้อยละ 2.9 ทำให้ตั้งแต่ต้นปีมีผลตอบแทนโดยรวมที่ร้อยละ 9 ตลาดที่นำโด่งในแง่ของผลตอบแทนก็ยังคงเป็นตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ในช่วง1 เดือนที่ผ่านมายังคงบวกเพิ่มอีกถึงร้อยละ 4.6 ทำให้ตั้งแต่ต้นปีมีผลตอบแทนโดยรวมที่ร้อยละ 16.2 ตามมาติดๆด้วยตลาดหุ้น NASDAQ ของประทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผลตอบแทนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาที่ร้อยละ 4.9 และมีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ร้อยละ 13.7 แต่พอหันกลับมาดูตลาดหุ้นบ้านเราในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมากลับมีผลตอบแทนติดลบไปถึง 2.9% สวนทิศกลับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ด้านการลงทุนในทองคำที่ในไตรมาสแรกค่อนข้างร้อนแรงแต่ผลตอบแทนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมากลับติดลบถึง 4.6% แต่ยังดีที่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปียังบวกอยู่ 6.6%

ที่เกริ่นมาทั้งหมดนั้นผมอยากจะชี้หรือดึงประเด็นบางประการออกมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็น 2-3 ข้อด้วยกันก็คือ

ประเด็นแรก คือ การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ยังเป็นหลักการที่สำคัญที่ให้ประโยชน์กับการบริหารความเสี่ยงอยู่ เพราะหากเราไม่มีการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน (ในที่นี้จะพูดเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงหรือตลาดหุ้นกับทองคำเท่านั้น) โดยหากเราลงทุนเฉพาะตลาดหุ้นไทยความมั่งคั่งของเราก็จะลดน้อยลง แต่ถ้าเรามีการกระจายเงินลงทุนของเราไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศความมั่งคั่งที่ลดลงจากเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็จะถูกชดเชยด้วยผลตอบแทนที่ดีกว่าจากเงินลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

ประเด็นที่สอง คือ ความสำคัญของการปรับพอร์ตการลงทุน เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นนั้นเกิดจากปัจจัยหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็นทิศทางของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือนโยบายการเงินการคลัง เป็นต้น ดังนั้น เมื่อปัจจัยดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นได้ ดังนั้น การลงทุนจึงควรมีการปรับพอร์ตเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยดังกล่าวเช่น หากปัจจัยการเมือง หรือตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีนักลงทุนอาจทำการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านั้นได้ เช่นตลาดหุ้นของประเทศอเมริกา หรือยุโรป หรือตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยดัชนี NIKKEI225 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.2% ทั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดจากทิศทางของเงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง หรือประกอบกับปัจจัยภายในประเทศอื่นๆก็ตาม เพื่อให้การบริหารความมั่งคั่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่า การซื้อและถือไว้เฉย ๆ แต่ประเด็นนี้จะมีความเสี่ยงที่ตามมา นอกเหนือจากความเสี่ยงจากตัวตลาดหุ้นเอง นั่นก็ คือ หากมุมมองของเราผิดผลลัพธ์ที่ออกมาออกจะแย่กว่าเดิมก็ได้ นอกเหนือจากนั้นนักลงทุนยังต้องมีความรู้ความเข้าใจกับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนทิศทางของนโยบายการเงินการคลังของประเทศต่างๆ

ประเด็นสุดท้าย คือ กองทุนรวมก็สามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรได้เหมือนการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น สมมติว่านักลงทุนเห็นราคาทองคำปรับตัวลงไปที่ระดับต่ำกว่า 1200 และคิดว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างต่ำจึงทำการซื้อกองทุนทองคำไว้ ต่อมาเมื่อราคาทองปรับตัวสูงขึ้นไปกว่า 1,270 USD / ออนซ์ นักลงทุนอาจคิดว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นมามากแล้วและกองทุนที่ถืออยู่มีกำไรแล้วก็อาจตัดสินใจขายออก (ทั้งหมดหรือบางส่วน) เพื่อทำกำไรก่อนก็ได้ หรือนักลงทุนอาจเห็นว่าตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอาจตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมตลาดเกิดใหม่และเมื่อมีกำไรในระดับหนึ่ง อาจตัดสินใจที่จะขายกองทุนนี้ออกไปเพื่อทำกำไรในระยะสั้นๆ แต่เช่นเดียวกันประเด็นนี้ก็อาจตามมาด้วยความเสียงก็คือหากตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่มีการเปลี่ยนทิศและปรับตัวลดลงก็จะทำให้นักลงทุนขาดทุนได้

ครับหลักการของการบริหารความมั่งคั่งโดยการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นหลักการที่สำคัญ ส่วนการปรับพอร์ต หรือการลงทุนแบบทำกำไรระยะสั้น ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นนั้นจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มเติมขึ้นมา ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวัง และมีการศึกษาข้อมูลที่มากขึ้น

ท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ทุก ๆ ท่านโชคดีกับการลงทุนครับ