รถ กับ คน

รถ กับ คน

รถยนต์เป็นยานพาหนะที่ดูจะมีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน ถึงขนาดมีบางคนพูดว่าเป็นปัจจัยที่ 5

 ทั้งที่ความจริงแล้ว คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะจะเห็นว่าวันนี้ คนที่ไม่มีรถนั้นเยอะแยะไป แต่ก็ยังอยู่กันได้ เพียงแต่บางทีความสะดวกสบายมันหายไปบ้าง

เช่นในต่างจังหวัด ในยุคที่คนส่วนใหญ่ไม่มีรถยนต์ใช้ จะเดินทางเข้าตัวเมืองสักที ก็ต้องอาศัยรถสองแถวที่อาจจะรอ 1 ชม. มาคัน คันแรกตี 5 หรือ 6 โมงเช้า คันสุดท้ายเที่ยง ส่วนเที่ยวกลับคันแรกออกเที่ยง คันสุดท้ายหกโมงเย็น และก็ต้องอดทนกับความล่าช้า เพราะระยะทางสัก 20 กม. อาจใช้เวลาเดินทางนับชั่วโมง 

แต่เมื่อคนมีรถมากขึ้น ก็นิยมขับรถไปทำธุระกัน จากเคยเสียเวลานับชั่วโมง ก็เหลือ 15-20 นาที แต่คนที่ไม่มีรถกลับเดือดร้อนมากขึ้น เพราะคนใช้บริการสองแถวลดลง ก็ต้องลดจำนวนลง เหลือไปวันละ 2 เที่ยว กลับวันละ 2 เที่ยว 

รถยนต์ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นสิ่งอันตราย แม้จะจอดอยู่กับที่ก็ตาม ดังนั้นในงานแสดงรถยนต์หลายๆ ประเทศ หลายเวที จึงไม่ให้เด็กๆเข้าไปในงาน เพราะการเข้าไปดูรถของคนทั่วอาจจะมีทั้งการเปิด-ปิด ประตู เปิด-ปิด ฝาท้ายรถ กระโปรงรถ เด็กๆ ที่ไม่ระวังตัว และผู้ปกครองก็ไม่ได้ดูแลตลอดเวลา มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บจากรถได้ 

ขณะที่รถอยู่ระหว่างการใช้งาน ก็เกิดอันตรายได้เช่นเดียวกัน แม้จะจอดอยู่เฉยๆ เราได้เห็นข่าวรถไหลไปชนเจ้าของอัดกับประตูบ้าน หรือกำแพงโรงจอดรถเกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งบางทีก็ไม่อยากพูดว่าเป็นเพราะความประมาท แต่เป็นเพราะไม่ได้เรียนรู้การใช้งานอย่างถูกต้อง

การใช้งานรถที่ถูกต้อง ไม่เฉพาะการเรียนรู้เครื่องยนต์กลไก ระบบต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ เท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้ถึงอารมณ์ บุคลิกของรถ และทัศนคติที่ดีของผู้ขับด้วย 

ที่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะสัปดาห์ก่อน มีข่าวคนขับรถหรู (อย่าไปเอ่ยยี่ห้อ เพราะรถไม่เกี่ยว) เกิดอุบัติเหตุเสียหลักในขณะที่กำลังเลี้ยวเข้าทางแยก ไปชนคนและรถจักรยานยนต์ และเมื่อสืบสาวรายเรื่องไปมา พบว่าคนเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อน เคยขับรถหรูชนคนเสียชีวิตมาแล้ว 

อย่างที่บอกว่ารถหรูไม่เกี่ยว แต่ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งก็คือ ทั้ง 2 รุ่นเป็นรถที่สมรรถนะเครื่องยนต์ค่อนข้างสูง พูดภาษาชาวบ้านคือ เครื่องแรง แต่อยู่ในการควบคุมของคนที่อาจจะมีทัศนคติในการใช้รถไม่ดี หรือ มีทักษะในการควบคุมรถไม่ดีพอ

ในหลายประเทศคนที่จะซื้อรถบางรุ่นได้ แม้จะขับรถเป็นอยู่แล้ว ก็ยังกำหนดให้ต้องไปเรียนหรืออบรมเพิ่มเติม แต่บ้านเราไม่มี ใครจะซื้ออีโค คาร์ หรือ ซูเปอร์ คาร์ ก็ได้ ขอแค่มีเงิน หรือผ่านไฟแนนซ์เท่านั้น ส่วนการขับให้มีใบขับขี่เป็นพอ จะสอบมาจริงหรือไม่จริงไม่รู้

แนวคิดก่อนหน้านี้ที่ภาครัฐต้องการให้เรียน อบรม 15 ชม. และค่าเรียนประมาณ 6,000 บาท จึงถูกต่อต้านอย่างหนัก ทั้งที่เชิงทฤษฎีแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าระบบที่ใช้กันในปัจจุบัน ที่ผลิตใครก็ไม่รู้ออกมาอยู่หลังพวงมาลัยกันเกลื่อนถนนไปหมด