กลัวตลาดหุ้นลง แต่อยากรับเงินปันผล

กลัวตลาดหุ้นลง แต่อยากรับเงินปันผล

ความไม่ชัดเจนในนโยบายต่างๆ ทำให้นักลงทุนยังไม่สามารถตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้การย้ายเงินลงทุนไม่มีทิศทาง

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และทั่วโลกเวลานี้ยังคงผันผวนไปกับปัจจัยข่าวการเมืองในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายของประเทศฝรั่งเศส และนโยบายการเมือง เศรษฐกิจ และการเงินกลุ่มประเทศอียูในอนาคต จึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และ ตลาดซื้อขายทองคำเกิดความผันผวน

ผมประเมินว่าบรรยากาศความอึมครึมของปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศจะยังปกคลุมตลาดหุ้นไทยไปอีก 1-2 เดือนจากนี้ เนื่องจากแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไป และรู้ผลการเลือกตั้งก็ตาม แต่การบริหารจัดการของรัฐบาลในหลายประเทศก็ยังไม่สามารถดำเนินไปตามนโยบายที่พรรคชนะเลือกตั้งเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งได้

ความไม่ชัดเจนในนโยบายต่างๆจึงทำให้นักลงทุนยังไม่สามารถตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้การย้ายเงินลงทุนไม่มีทิศทาง ดังนั้น นักลงทุนก็จะเลือกการกระจายเงินลงทุนในทางสายกลางเพื่อกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของเงินลงทุนเป็นหลักมากกว่าการเน้นลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพยหนึ่ง หรือยึดหลักการลงทุนแบบสายกลาง (Neutral) มากกว่าการแสวงหาอัตราผลตอบแทน (aggressive) หรือ การจัดการพอร์ตการลงทุนแบบตั้งรับ (Defensive) สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือประเทศไทยไม่ได้ปรับตัวลงมากมายนัก (หากนักลงทุนมองเศรษฐกิจเชิงลบจะถือพันธบัตรเพิ่ม อัตราผลตอบแทนลง) และ ราคาทองคำยังไม่มีการปรับตัวขึ้นสูงมากกว่าควรจะเป็น ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ปรับตัวลงแรงนัก

สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย สิ่งที่สะท้อนผ่านตลาดหุ้นไทยก็ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะส่วนหนึ่งมาจากข่าวการซ้อมยิงขีปนาวุธระยะกลางของเกาหลี และอาจจะส่วนหนึ่งนักลงทุนไม่มั่นใจเรื่องการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน และอัพไซค์ของมูลค่าหุ้นจำกัด แต่ไม่ได้ขาดความมั่นใจ ไม่ได้กลัวตลาดหุ้นไทยลงมากมาย

กลยุทธ์การลงทุนสำหรับปีนี้ เรายังเน้นในเรื่องมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงเกินไปนัก (เน้นหุ้นที่มีการซื้อขายบนค่าพีอีต่ำกว่า 25 เท่าและบริษัทมีกำไรคาดว่าขยายตัวได้ดีปานกลาง อัตราเงินปันผลเกิน 3% ) ขณะที่หุ้นที่มีอัตราเติบโตมาก และซื้อขายบนค่าพีอีคาดการณ์กำไรมากกว่า 35 เท่ายังคงไม่ได้รับความสนใจนัก ทั้งนี้นักลงทุนเริ่มขาดความมั่นใจว่าบริษัทจะดำเนินการเพื่อสร้างอัตราเติบโตกำไรสูงมากจะต่อเนื่องได้ ในช่วงเวลานี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่เวลาของการประกาศจ่ายเงินปันผล และเป็นปัจจัยที่ผมคิดว่ามีน้ำหนักต่ออัตราผลตอบแทนรวมของพอร์ตการลงทุนในปีนี้ (เนื่องจากราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นได้จำกัด) ดังนั้น ผมจึงแนะให้นักลงทุนถือหุ้นรับเงินปันผล มากกว่ายอมตัดใจขาดทิ้งเพราะกลัวตลาดหุ้นลง

อย่างไรก็ดี หุ้นที่จะถือรับเงินปันผลควรจะมีแนวโน้มกำไรปีนี้ทรงตัว หรือ ขยายตัวในระดับปานกลางราว 5% ขึ้นไปด้วย เพื่อทำให้ความเสี่ยงจากการปรับตัวลงของราคาหุ้นหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้วอยู่ในเกณฑ์ต่ำ นอกจากนี้ เรายังสามารถผสมพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุนอสังหาฯ หรือ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปอีกด้วย เนื่องจากความเสี่ยงของราคาไม่สูงมากนัก กระแสเงินสดค่อนข้างมั่นคง โดยเราสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐได้หากอัตราเงินปันผลของกองทุนอสังหาฯและกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมีอัตราเงินปันผลในระดับ 5.50% ขึ้นไป