ทรัมป์-ปูตินในวิกฤตซีเรีย จากเพื่อนซี้เป็นเกลอซี้ซั้ว!
ความสัมพันธ์ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับวลาดิเมียร์ ปูตินที่เดิมเคยอ้างว่า “ซี้” กันนั้น
พอทรัมป์สั่งยิงขีปนาวุธ Tomahawk 59 ลูกใส่ฐานทัพอากาศ Shayrat ของรัฐบาลซีเรียก็กลายเป็น “ซี้ซั้ว” ไปโดยฉับพลัน
ทั้งประธานาธิบดีปูตินและนายกฯ เมดเวเดฟของรัสเซีย ออกเป็นแถลงการณ์ยืนยันชัดแจ้งว่า การที่สหรัฐโจมตีซีเรียอย่างนี้เป็นการ “ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐโดยสิ้นเชิง”
ข่าวบอกว่าจรวดมะกันทำลายเครื่องบินซีเรีย 20 ลำและมีคนตาย 6 คน ในจำนวนนี้มีเด็ก 3 คน
นายกฯรัสเซียบอกว่า การยิงขีปนาวุธของสหรัฐใส่ฐานทัพซีเรียแห่งนั้น เกือบจะทำให้เกิดการปะทะกับหน่วยทหารของรัสเซีย (“ห่างกันแค่นิ้ว”)
ภาพดาวเทียมบอกว่าฐานทัพแห่งนั้นเป็นที่ตั้งของหน่วยรบพิเศษ ของทหารรัสเซียและเฮลิคอปเตอร์ทางทหารรัสเซีย ซึ่งถูกส่งมาเพื่อช่วยรัฐบาลของบาชาห์ อัล-อัสซาด รบกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส (IS) และกลุ่มหัวรุนแรงติดอาวุธในประเทศนั้น
แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐยืนยันว่า ทางวอชิงตันได้ส่งสัญญาณให้รัสเซียรู้ก่อนถล่มหนึ่งชั่วโมง
หากมีการบอกล่วงหน้าอย่างนั้นจริง ก็น่าสงสัยว่าปูตินได้บอกกล่าวกับทรัมป์หรือไม่ว่าไม่เห็นด้วย และเสนอทางออกอย่างไร
ข่าวบอกด้วยว่าทรัมป์ก็แจ้งให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่กำลังเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ รู้ล่วงหน้าว่าจะเปิดศึกกับซีเรียด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกว่าแจ้งก่อนนานเท่าไหร่ และผู้นำจีนได้แสดงความเห็นว่าอย่างไร
นายกฯรัสเซีย “อัด” ทรัมป์อย่างแรง บอกว่าแทนที่จะร่วมมือกับรัสเซียจัดการกับ IS แต่ผู้นำสหรัฐคนใหม่กลับต้องการจะโค่นรัฐบาลซีเรีย “ทั้งๆ ที่เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่ได้รับอนุมัติจากสหประชาชาติ... และขัดต่อขั้นตอนในประเทศที่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาสหรัฐเอง”
เมดเวเดฟบอกว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้ก่อการร้ายยินดีปรีดาเป็นธรรมดา
เขาย้ำด้วยว่าการที่ทรัมป์ตัดสินใจใช้กำลังทหารกับซีเรียครั้งนี้ เป็นสัญญาณว่าประธานาธิบดีสหรัฐ ยังต้องพึ่งพาความเห็นของผู้มีอำนาจบารมีในวอชิงตันอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่อำนาจเช่นว่านี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยทรัมป์ระหว่างหาเสียง
แถลงการณ์ของเมดเวเดฟเขียนด้วยภาษาดุดันแบบบทความวิเคราะห์ข่าว ไม่ใช่ภาษาทางการแบบที่เคยทำกันมาตลอด
“หลังจากชัยชนะ (ในการเลือกตั้งของทรัมป์) ข้าพเจ้าก็พยายามสังเกตว่า ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับว่าคำมั่นสัญญาช่วงหาเสียง จะถูกทำลายโดยกลไกแห่งอำนาจรวดเร็วเพียงใด... ลงท้ายก็ใช้เวลาเพียงสองเดือนครึ่งเท่านั้น”
เป็นปฏิกิริยาจากมอสโควที่ทั้งแรงทั้งดุและหนักหน่วง
ว่าแล้วรัสเซียก็ส่งเรือพิฆาตชื่อ Admiral Grigorovich เข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปจอดที่ฐานทัพเรือ Tartus ของซีเรียและประกาศจะช่วยรัฐบาลซีเรีย เสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันทางอากาศ
ไมต้องตีความให้ยากก็เป็นอันรู้กันว่ามอสโคว ประกาศยืนคนละข้างกับสหรัฐในกรณีนี้อย่างปราศจากข้อสงสัยใด ๆ
โฆษกรัฐบาลรัสเซียออกมาบอกว่า รัฐบาลซีเรียไม่มีคลังแสงอาวุธเคมีอย่างที่สหรัฐกล่าวหา เพราะเคยมีการตรวจค้นของหน่วยงานสากลและได้ทำลายไปหมดสิ้นแล้ว
เท่ากับว่ารัสเซียพยายามจะโบ้ยความผิดไปให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่สหรัฐหนุนหลังอยู่
ตอนนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมามากมายเช่น
ทรัมป์จะถล่มซีเรียกชุดสองและชุดสามหรือไม่?
ทรัมป์ยังยึดนโยบายโค่นอัล-อัสซาด ขณะที่ปูตินต้องการอุ้มให้อยู่ต่อหรือไม่?
ทรัมป์กับปูตินยังจะร่วมมือกันปราบ IS ในซีเรียและอิรักหรือไม่?
ความขัดแย้งรอบใหม่จะบานปลายกลายเป็นสงครามขยายวงหรือไม่?
คำถามเหล่านี้ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะทรัมป์สามารถเปลี่ยนจุดยืนได้ตลอดเวลา
สามวันก่อนหน้านี้เขายังบอกว่าซีเรียไม่ใช่ปัญหาหลักสำหรับสหรัฐ ภายใน 48 ชั่วโมงเขาก็สั่งถล่มซีเรีย โดยอ้างว่าเพราะเห็นภาพเด็ก ๆ ซีเรียที่ต้องตายด้วยสารซารินแล้วทนไม่ได้ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรม
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ออกคำสั่งไม่ให้รับผู้ลี้ภัยจากซีเรียไม่ว่าจะเป็นคนแก่ ผู้หญิงหรือเด็กก็ตาม
โลกยังจะชุลมุนวุ่นวายไปต่อไป!