กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเดือนเม.ย.

กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเดือนเม.ย.

กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเดือนเม.ย.

ผ่านไตรมาสแรกไปเรียบร้อยแล้วสำหรับปีการลงทุน 2560 เข้ามาสู่เดือนเม..กับมหาเทศกาลประจำปีที่จะมีวันหยุดต่อเนื่องกันหลายวันการลงทุน ก็จะหยุดทำการกัน ปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดยังมีอยู่ในระยะนี้ จึงต้องมีการวิเคราะห์ตลาดล่วงหน้าเพื่อปรับกลยุทธ์ลงทุนก่อนวันหยุดยาวกันสักนิดนะครับ

จากในช่วงในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาการประชุมธนาคารกลางของทั้ง สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ ที่ผ่านไป สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยขณะที่ญี่ปุ่น อังกฤษ ยังคงดอกเบี้ยและนโยบายการเงินเช่นเดิม ซึ่งตลาดได้สะท้อนไปเรียบแล้ว แต่ปลายเดือนมี.ค.มีปัจจัยที่ให้ต้องติดตามขึ้นมานั่นคือ เรื่องกฎหมาย "American Healthcare" ที่ไม่ผ่านมาสภาและเกิดความไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯตามมา...

การที่ไม่สามารถผ่านการรับรอบจากสภาได้ส่งผลให้กฎหมาย American Healthcare ของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลไปถึงความไม่มั่นใจต่อกฏหมายอื่นๆ ที่พยายามดำเนินการ อาทิ เรื่องการลดภาษี นักลงทุนจึงเกิดความไม่มั่นใจต่อการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ และพากันหันกลับมา ให้ความสนใจลงทุนในภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งไทย โดยในช่วงปลายเดือนมี.ค.จะเห็นได้ว่ามีเงินไหลเข้าลงทุนในกลุ่ม TIPs มากขึ้นโดยเฉพาะประเทศไทยกับอินโดนิเซีย (ณ วันที่ 24 มี.ค.) ที่มีเงินไหลเข้าลงทุในตราสารหนี้ ประมาณ 123 ล้านดอลลาร์ และ 213 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ เป็นการเข้ามาเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่ราคายังไม่ขึ้นไปสูง

เป็นการสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มมีการเปลี่ยนมุมองการลงทุนใหม่ ลดการถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง (หุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์ ) และเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างพันธบัตร และเงินสกุลที่ปลอดภัย (เงินเยน) เป็นภาวะที่เรียกว่า “Reflation Trade” อย่างไรก็ตาม KTBST ก็มองว่าน่าจะเป็นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่หากเกิดความไม่มั่นใจต่อนโยบายของเศรษฐกิจมากขึ้น อาจเห็นเงินไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่และเอเชียมากขึ้น และส่งผลต่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตามไปด้วย ในตอนนี้ KTBST คาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์

ดังนั้นแล้วตลาดหุ้นในเดือนเม.ย.จึงค่อนข้างมีความน่าสนใจหากปัจจัยต่างประเทศยังมีผลกดดันต่อตลาดอยู่ ช่วงเม.ย.ของหลายปีที่ผ่านมาจะพบหุ้นไทยจะมีวอลุ่มซื้อขายเบาบาง เคลื่อนไหวแบบทรงตัว (Sideway) ดังนั้นในเดือนเม.ย.นี้ยังมองว่าตลาดจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยต่างประเทศและหลังจากวันหยุดยาวแล้วก็ยังคงมองว่าตลาดยังเคลื่อนไหว Side way อยู่ ขณะเดียวกันในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. นักวิเคราะห์จะปรับราคาที่เหมาะสมของหุ้น ในตัวที่ผลประกอบการไม่ดีในปี 2559 และมีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้ ซึ่งจะทำให้มีแรงซื้อหุ้นเหล่านี้เข้ามา กลุ่มน่าจับตาถึงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน อาทิ ธนาคาร , ที่อยู่อาศัย , ICT แต่กลุ่มที่อาจปรับลดกำไรลงจะเป็นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มส่งออก (ผลจากเงินบาทแข็งค่า)

ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในเดือนนี้ว่า ควรเน้น "ถือ" หุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการโตของเศรษฐกิจ (Domestic Play) เป็นหลัก อาทิ กลุ่มธนาคาร ที่อยู่อาศัย

หากนโยบายของทรัมป์ที่หาเสี่ยงไว้ไม่สามารถดำเนินไปได้ทั้งหมดอาจจะทำให้ครึ่งปีหลังอาจจะต้องประเมินการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯกันใหม่ ซึ่งอาจจะมีผลตลาดหุ้นให้เกิดความผันผวนได้ อย่างไรก็ตาม KTBST ยังประเมินแนวโน้มหุ้นไทยในปีช่วงครึ่งปีหลังว่าจะแนวโน้มดีกว่าครึ่งปีแรกเพราะจากปัจจัยสำคัญๆ ในช่วงครึ่งปีแรกจะส่งผลบวกมาถึงครึ่งปีหลัง ประเมิน SET Index ครึ่งปีหลัง ในกรอบ 1,453 - 1,679 จุด โดยจะมีปัจจัยต่างประเทศเข้ามากดดันและหนุนเป็นระยะๆ ตลาดหุ้นยังเป็นที่ต้องการจากต่างประเทศอยู่

ปัจจุบันมีผู้ที่มีสินทรัพย์มากและต้องการมองหาบริการด้านการลงทุน จึงเข้ามาใช้บริการจาก KTBST Wealth Management ต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนที่หลากหลายสินทรัพย์ ทั้ง หุ้น อนุพันธ์ ตราสารหนี้ กองทุนรวม และผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นๆ แบบครบวงจร และการเน้นให้ความรู้ด้านการลงทุนต่อเนื่องด้วยบทวิเคราะห์และกลยุทธ์ลงทุนที่โด่ดเด่น สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 02-648 1747 - 02-648 1458