ปรุงกำไร

ปรุงกำไร

ปรุงกำไร

ตัวเลข “กำไรสุทธิ” ของบริษัทจดทะเบียนนั้น บางครั้งมันก็อาจจะไม่ใช่ตัวที่ชี้ว่าบริษัทกำลังทำผลงานทางธุรกิจได้ดีและจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว แต่พอบริษัทมีกำไรเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะติดต่อกันมาซัก 2-3 ปีหรือบางทีน้อยกว่านั้นด้วย ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปสูงลิ่วจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็จะทำให้คนที่มีหุ้นมากหรือคนที่ซื้อหุ้นไว้ก่อนสามารถทำกำไรจากหุ้นได้มหาศาลในระยะสั้น ดังนั้น กำไรของบริษัทจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนในแวดวงตลาดหุ้นสนใจกันมากที่สุดตัวหนึ่ง เพราะมันทำให้รวยหรือเจ๊งได้

เหตุผลที่ตัวเลขกำไรสุทธิในระยะสั้นอาจจะไม่ใช่เครื่องบ่งบอกความดีของบริษัทในระยะยาวนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเลข “กำไร” นั้น เป็นตัวเลข “ทางบัญชี” ที่บางส่วนขึ้นอยู่กับ “ความเห็น” ของผู้บริหารและเจ้าของหุ้นที่มีอำนาจในการจัดการบริษัทด้วย และกิจการหลายอย่างนั้น ความเห็นที่แตกต่างก็อาจจะทำให้กำไรแตกต่างกันได้มาก เช่น ถ้ามีความเห็นแบบหนึ่งก็กำไรมาก แต่ถ้ามีความเห็นอีกแบบหนึ่งก็อาจจะทำให้บริษัทขาดทุนได้ เรียกว่ากำไรนั้นสามารถ “ปรุงแต่ง” ได้โดยความเห็นของฝ่ายจัดการและเจ้าของหุ้นที่มีอำนาจ-ในระยะสั้น

แรงจูงใจที่จะปรุงแต่งกำไรให้เติบโตโดดเด่นในช่วงสั้น ๆ 2-3 ปีนั้น มักจะมาจากการที่ฝ่ายบริหารและ/หรือเจ้าของหุ้น ต้องการทำกำไรจากหุ้นที่ตนเองถืออยู่หรือไม่ก็เป็นเรื่องของการต้องการแสดงผลงานที่โดดเด่นในช่วงนั้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วิธีการ “ปรุงกำไร” นั้น บางครั้งก็ไม่ผิดกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย แต่หลายครั้งก็ผิดโดยเฉพาะเมื่อถูกจับได้โดยหน่วยงานควบคุมของรัฐเช่น กลต. เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว การปรุงกำไรแบบไม่ผิดกฎหมายนั้น ผลกระทบต่อกำไรก็อาจจะไม่มากเท่าวิธีที่ฉ้อฉล อย่างไรก็ตาม นี่เป็นประเด็นที่ผู้บริหารและเจ้าของหุ้นจะต้องเลือกว่าจะเสี่ยงแค่ไหนในการปรุงกำไร บางทีผู้บริหารก็จะต้องประเมินถึงโอกาสของการถูกจับได้ว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าดูแล้วโอกาสถูกจับได้น้อยเนื่องจากลักษณะของกิจกรรมหรือสถานที่ที่อาจจะอยู่ไกลเช่นในต่างประเทศและในสังคมที่ระบบบัญชีหรือการควบคุมยังมีมาตรฐานไม่สูง ผู้บริหารก็อาจจะกล้าทำมากขึ้น เป็นต้น

กรณีของหุ้น Enron บริษัทผู้ผลิตพลังงานขนาดใหญ่มากของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงประมาณปี 2000 นั้น ผู้บริหาร “ปรุงกำไร” ได้อย่างโดดเด่นติดต่อกันหลายปีมาก พวกเขาต่างก็ทำเงินมหาศาลจากหุ้นรวมถึงผลตอบแทนในฐานะผู้บริหารที่ได้รับ ไม่นับชื่อเสียงที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในระดับ “ซุปเปอร์สตาร์” ในแวดวงธุรกิจ หุ้นเอนรอนเป็นขวัญใจของนักลงทุนสถาบันและทุกคนในตลาดหุ้น เพราะมันทำกำไรให้พวกเขามหาศาลในช่วงที่กำไรยังถูกปรุงให้โดดเด่นอยู่ และนี่ก็คือหุ้นของกิจการพลังงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วและขยายไปทั่วโลกด้วยการเทคโอเวอร์และวิศวกรรมการเงินที่ซับซ้อนในธุรกิจที่ร้อนแรง และอาจจะถูกออกแบบโดยผู้บริหารที่จะช่วยให้การ “ปรุงกำไร” ถูกมองข้ามแม้ว่าจะมี “ข้อสังเกตเล็ก ๆ” มานานจากคน “ขี้สงสัย” บางคน เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคนส่วนใหญ่ในตลาดยังมีความสุขจาก “ปาร์ตี้” ใครจะอยากให้เลิก?

ผมคงไม่ต้องพูดต่อว่าในที่สุดเอนรอนก็ล้มละลายเนื่องจาก “ความจริง” ที่ปรากฏขึ้นว่ากิจการมีการฉ้อฉลจากการปรุงกำไรอย่างหนัก ราคาหุ้นเคยขึ้นไปจากประมาณ 45 เหรียญเป็นเกือบ 180 เหรียญในเวลา 2 ปี ก่อนที่จะตกลงมาเหลือ 0 เหรียญในเวลาเพียงปีเดียว ทุกอย่างที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยมองว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นกิจการที่ “Defensive” เพราะเป็นเรื่องของพลังงานนั้นกลายเป็นความล้มเหลว ว่าที่จริงมันไม่เคยดีเลย มันถูกเชื่อว่าดีเพราะบริษัทแสดงตัวเลขกำไรที่ยืนยันและตอบโต้กับทุกคนที่อาจจะมีข้อสงสัยได้

ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงมีการเก็งกำไรสูงมากโดยเฉพาะใน “หุ้นตัวเล็ก” ผมเองเชื่อว่าแรงจูงใจในการ “ปรุงกำไร” ก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย เหตุผลที่ผู้บริหารและเจ้าของหุ้นอยากทำนั้น ผมคิดว่ามีอยู่หลายประการ เริ่มตั้งแต่ “ผลตอบแทน” ที่อาจจะสูงลิ่วอานิสงส์จากการที่หุ้นตอบสนองต่อกำไรที่เพิ่มขึ้นมากมหาศาล การเพิ่มกำไรเพียงหุ้นละ 1 บาทบางทีสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ 50 หรือ 100 บาท นี่เป็นข้อแรก ประเด็นต่อมาก็คือ ในบางธุรกิจนั้น การปรุงกำไรอาจจะทำได้ง่ายและไม่ผิดกฎเกณฑ์อะไร เช่น ในธุรกิจการเงินที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยแบงก์ชาตินั้น บริษัทสามารถกำหนดแนวทางการจัดการเรื่องหนี้เสียซึ่งปกติเป็นต้นทุนที่สำคัญได้ด้วยตนเอง เป็นต้น นอกจากนั้น กิจกรรมการเทคโอเวอร์หรือการซื้อขายติดต่อกับต่างประเทศเองก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะสามารถทำการปรุงกำไรได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎ เหตุผลก็เพราะว่าการควบคุมของทางการหรือแม้แต่ผู้สอบบัญชีก็ทำได้ยากมาก

คำถามที่ว่าบริษัทมีการ “ปรุงกำไร” หรือเปล่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยกหรืออยากยกขึ้นมาเป็นประเด็นโดยเฉพาะในยามที่กำไรกำลังโตขึ้นอย่างโดดเด่นพร้อมกับราคาหุ้นที่ “วิ่งทะลุฟ้า” และผู้บริหารกำลังได้รับการยอมรับเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” ในแวดวงธุรกิจ ในฐานะ VI ที่ดีนั้น การลงทุนในหุ้นที่เพิ่งจะมีกำไรโดดเด่นมาก ๆ ในช่วงสั้น ๆ จะต้องเป็นสิ่งที่เราระวังและตรวจสอบให้ดีว่าจะเป็นกำไรที่ “ปกติ” ไม่ได้ผ่านการปรุงจากผู้บริหารหรือไม่ เราจะต้องหาเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมกำไรจึงดีขึ้นมากและกำไรนั้นจะเติบโตต่อไปอีกนานแค่ไหน แหล่งของกำไรเองก็เป็นประเด็นที่สำคัญว่ามันเป็นแหล่งที่ตรวจสอบได้มากน้อยแค่ไหน การเทียบกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมเองก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะช่วยให้เราประเมินได้ดีขึ้นว่าบริษัทน่าจะมีการทำกำไรได้ปกติหรือไม่

ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นที่มีกำไรโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วจะต้องมาจากการปรุงกำไรของผู้บริหาร ที่จริงเป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะรู้ว่าบริษัทมีการปรุงกำไรหรือไม่เนื่องจากเราเป็น “คนนอก” ที่มักจะติดตามแค่จากข่าวและตัวเลขการดำเนินงานของบริษัทที่มาจากบริษัทเอง แทบจะเป็นไปไม่ได้ว่าเราจะรู้แบบ 100% ว่าบริษัทมีการปรุงกำไรและเราก็ไม่ควรจะคิดแบบนั้นตราบที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน อย่างไรก็ตาม การประเมินสถานการณ์และเหตุการรวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริหารโดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับราคาหุ้นของบริษัทก็จะช่วยให้เราพิจารณาได้ดีขึ้นว่าความเสี่ยงของการที่บริษัทจะ “ปรุงกำไร” มีมากน้อยแค่ไหน โดยส่วนตัวผมเองแล้ว หุ้นที่มีความเสี่ยงก็มักจะเป็นหุ้นที่ผมจะหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราคาหุ้นก็ขึ้นไป “หลุดโลก” อยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะซื้อหุ้นทำไม เพราะถ้าบริษัทไม่ได้ปรุงกำไร อย่างมากผมก็แค่ “เจ๊า” เพราะราคาหุ้นมันสูงเกินไปอยู่แล้ว แต่ถ้าบริษัทกำลังเล่นแร่แปรธาตุอยู่ อนาคตก็คือ “หายนะ”