ทำไมจึงต้อง CLMV

ทำไมจึงต้อง CLMV

ทำไมจึงต้อง CLMV

กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม นับเป็นหนึ่งในตลาดชายขอบ (Frontier Market) ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีเวียดนามชูธงก่อนล่วงหน้ามากว่าทศวรรษ

ปัจจุบันแม้ว่าประเทศที่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้อย่างแท้จริงในกลุ่ม CLMV จะมีเพียงเวียดนามเท่านั้น ส่วนกัมพูชาและลาวยังคงมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ค่อนข้างจำกัด ในขณะที่พม่าก็ยังไม่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนโดยตรงในตลาดได้ แต่เหตุใดนักลงทุนจึงเตรียมความพร้อมเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นเหล่านี้เป็นการล่วงหน้า

ความโดดเด่นของกลุ่ม CLMV นั้นเริ่มตั้งแต่การเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงโดยพม่า ลาว และกัมพูชา มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2011 – 2015 อยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี ในขณะที่เวียดนามอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี โดยมีคาดการณ์การขยายตัวในอนาคตที่อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับที่ผ่านมา และด้วยจำนวนประชากรรวมเกือบ 180 ล้านคน ซึ่งมีอายุเฉลี่ยเพียง 19 – 28 ปีเท่านั้น กลุ่มประเทศเหล่านี้จึงมีแรงงานในวัยทำงานเป็นจำนวนมาก ต่างจากประเทศที่พัฒนามาก่อนหน้าอย่างญี่ปุ่น จีน และไทยที่ล้วนประสบปัญหาประชากรสูงวัยที่มีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกเหนือจากการมีประชากรวัยทำงานเป็นจำนวนมากแล้ว หากพิจารณาประเทศที่มีประชากรจำนวนมากอย่างเวียดนามและพม่าจะพบว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพด้านการศึกษาดีมากเมื่อเทียบกับระดับการพัฒนาของประเทศ โดยพม่านั้นแม้จะผ่านมรสุมการเมืองและความยากแค้นยาวนานกว่า 50 ปี แต่ระดับการอ่านออกเขียนได้ของคนพม่าโดยเฉลี่ยยังถือว่าอยู่ในระดับสูงถึง 89.5% (ไทย 96.7%) และหากได้มีโอกาสไปเยือนองค์กรต่างๆของพม่าจะพบว่ายังคงมีบุคลากรรุ่นเก่าที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญการใช้ภาษาอังกฤษอันเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคมที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่เหลืออยู่บ้าง และแม้ว่าคุณภาพทางการศึกษาโดยรวมจะถดถอยไปมากเมื่อเทียบกับยุครุ่งเรืองในอดีต แต่ด้วยนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้นเชื่อว่าจะช่วยให้การปรับตัวของพม่าเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นได้ในอนาคต

ส่วนเวียดนามนั้น รัฐบาลเวียดนามลงทุนให้กับการศึกษาเป็นจำนวนมหาศาลถึง 21% ของงบประมาณทั้งหมด (ใกล้เคียงกับประเทศไทย) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย และหากยังจำกันได้ผลการวัด PISA ในปี 2015 ซึ่งเป็นโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งมีประเทศเข้าร่วมโครงการมากกว่า 70 ประเทศ พบว่านักเรียนเวียดนามโดยเฉลี่ยมีผลการสอบด้านวิทยาศาสตร์เป็นอันดับ 8 และด้านวิทยาศาสตร์เป็นอันดับที่ 22 ของโลก เหนือกว่าประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกประเทศ (สหรัฐฯอยู่ในอันดับที่ 25 และ 40 ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 54 ทั้งคู่) นอกจากนี้ ด้วยอุปนิสัยต่อสู้บากบั่น และมีวินัยส่งผลให้แรงงานเวียดนามมีคุณสมบัติที่ดึงดูดบริษัทชั้นนำของโลกให้ย้ายฐานการผลิตไปเป็นจำนวนมาก

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว กลุ่ม CLMV ยังเป็นแหล่งรวมทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้นำขึ้นมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งแร่ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ป่าไม้ และแหล่งพลังงานน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้า รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ทั้งด้านประวัติศาสตร์และธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นนครวัด นครธม ในกัมพูชา ทะเลเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกามของพม่า (ยังไม่นับวัดวาอารามอีกเป็นจำนวนมาก) หรือเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี หนึ่งเดียวในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในรัฐคะฉิ่นของพม่า เป็นต้น

ในด้านเขตแดนนั้น CLMV ถือเป็นประเทศหน้าด่านที่เชื่อมต่อไปยังตลาดการบริโภคที่ใหญ่ที่สุดตลาดหนึ่งของโลกอย่าง จีน และอินเดีย รวมถึงเป็นพื้นที่เชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์การค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นช่องทางการสัญจรทางการค้าที่สำคัญของโลก

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนทั่วโลกต่างหันมาจับตามอง CLMV นี้เป็นตาเดียวกัน