กำไรบจ.ปีนี้เหลือโต 7%

กำไรบจ.ปีนี้เหลือโต 7%

หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ ประกาศสรุปผลประกอบการบจ. ในตลาดหุ้นไทย 96%

 มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 9.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30.41% ได้ปัจจัยบวกจากต้นทุนการผลิตลดลง และการฟื้นตัวหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ส่งผลให้บจ.มีกำไรสูงสุดรอบ 5 ปี เมื่อโบรกเกอร์เริ่มทยอยประเมินภาพรวมเป้าหมายกำไรในปีนี้ จะเห็นว่าอัตราการเติบโตน้อยลงอย่างมาก

 ล่าสุด บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ ออกมาระบุว่า กำไรตลาดหุ้นไทยปี 2559 เติบโต 30.41%จากปีก่อน เพราะฐานกำไรกลุ่มโภคภัณฑ์ที่ต่ำมากในปี 2558 หนุนให้กำไรโดยรวมดีขึ้น แต่จะส่งผลมาถึงกำไรบจ.ในปีนี้ โดยคาดกำไรบจ.ปี 2560 เติบโตเป็นเลขหลักเดียวที่ 7%

เนื่องจากฐานกำไรของปี 2559 สูงขึ้น ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ 3% กว่าๆ (ไม่ถึง 4%) การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่โครงการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวเป็น Key growth แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องความล่าช้าของการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการบินที่ยังต้องรอความชัดเจนจาก ICAO ที่จะเข้ามาตรวจในเดือนก.ค.2560 อีกครั้งหนึ่ง

ส่วนภาพรวมของทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฝ่ายวิจัยทำการวิเคราะห์ พบว่าคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2560 จะเติบโต 7% อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฝ่ายวิจัยทำการวิเคราะห์ ที่จะยังมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงมากได้ เช่น กลุ่มไฟแนนซ์,กลุ่มค้าปลีก, ท่องเที่ยว& อาหาร

ในช่วงนี้ แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทและการเติบโตที่แข็งแกร่งของบจ.ในสหรัฐ (จากการลดภาษีรายได้ภาคธุรกิจของทรัมป์) ทำให้นักลงทุนต่างชาติปรับลดพอร์ตการลงทุน

บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินว่า ประเด็นดอกเบี้ยเฟดกดดันหุ้นทั่วโลก ตลาดประเมินความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมกลางเดือนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 96% จาก 94% ขณะที่การประชุม ECB วันที่ 9 มี.ค. 2560 น่าจะคงนโยบายตามเดิม (ความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มขึ้น) ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่า Flow เร่งการไหลออกตั้งแต่สัปดาห์ก่อนต่อเนื่องถึงวานนี้ ยอดสะสมของต่างชาติในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีเป็นขายสุทธิ 3 พันล้านบาท ส่วนตลาดพันธบัตรขายทุกวันตั้งแต่จันทร์ที่ผ่านมา (คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย) แนวโน้มกระแสเงินทุนของต่างชาติ ยังไหลออกน่าจะยังกดดันหุ้นขนาดใหญ่

แม้เงินบาทจะอ่อนค่า แต่ไม่ชอบกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้จะประเมินกำไรปกติปี 2560 ของกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ที่คาดว่าจะฟื้น 22% จากงวดเดียวกันปีก่อนเป็นเพราะฟื้นจากฐานต่ำ ขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนการฟื้นตัวแล้ว แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญความเสี่ยงใหม่ คือราคาทองแดงยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากปลายปีก่อน ซึ่งอาจเป็น downside ต่อผลประกอบการที่คาดราคาหุ้นเกินเป้าหมดแล้ว