ปลูกต้นความมั่นใจ

ปลูกต้นความมั่นใจ

ทุกช่วงชีวิตของคนเราตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ จนแม้ชรา เชื่อว่าต้องมีสักหนหรือสองหนหรือบ่อยๆที่รู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง

เรื่องของความมั่นใจนี้เป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดี แต่เราอย่าไปเข้าใจว่าการมีความมั่นใจในตนเองคือการกล้าแสดงออก การกล้าพูดในที่ประชุมชนเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วมันอาจเป็นภาพฉาบฉวยลวงตาที่หลายคนพยายามแสดงออกเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวหรือความไม่มั่นใจข้างในต่างหาก

ดิฉันได้เห็นโรงเรียนอนุบาลตลอดจนสถานศึกษาฝึกอบรมผู้นำหลายแห่งที่เน้นฝึกการแสดงออก ฝึกการพูดในที่ชุมชน ฝึกการแต่งตัว ฝึกท่าทางกิริยาเพื่อสร้างบุคลิกแห่งความมั่นใจให้แก่นักเรียนและผู้บริหาร หากถามว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ควรทำและฝึกภาวะผู้นำที่ถูกทางหรือไม่ ดิฉันก็คงตอบว่าใช่ แต่มันเป็นเพียงเปลือก มันอาจไม่สามารถสร้างความมั่นใจที่ออกมาจากจิตใจส่วนลึกของคนเรา จิตของคนเรามันออกจะซับซ้อน หลายคนแสดงออกในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ก็สามารถ “ตีบทแตก” แสดงท่าทีกิริยาภายนอกให้คนทั่วไปเชื่อว่าตนมีความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง ลึกๆแล้วก็ยังกังวล ยังหลงทางและขลาดกลัวกับการตัดสินใจหลายเรื่อง ขลาดกลัวกับการรับผิดชอบในการกระทำของตน เพราะยังมีความกลัวระดับสูงสุดอยู่เรื่องหนึ่งก็คือกลัวตัวตนที่แท้จริงของตน ไม่สามารถยอมรับตัวตนที่แท้จริงได้ ไม่ต้องการถูกปฏิเสธโดยคนหมู่มาก แม้ว่าคนหมู่มากจะไม่ได้มีความเห็นชอบก็ตาม

การสร้างความมั่นใจจึงเกิดขึ้นได้ 2 ระดับ คือระดับผิวเผินภายนอก ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปบ้างแล้วก็คือการจัดเสื้อผ้าหน้าผม ท่วงท่ากิริยา การพูดจา เป็นต้น แต่สิ่งที่ดิฉันอยากคุยในคอลัมน์นี้ก็คือการสร้างความมั่นใจภายในจิตใจของบุคคลซึ่งเป็นระดับที่ลึกกว่า สร้างได้ยากกว่า แต่ถ้ามีแล้วจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตและการทำงานได้มากกว่าและยั่งยืนกว่า อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าการสร้างความมั่นใจระดับภายนอกจะไม่สำคัญ สำหรับสังคมการทำงานในโลกธุรกิจการค้าที่คนเรายังมองว่า “เปลือก” เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่อยากมีภาวะผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทั่วไปจึงควรพัฒนาความมั่นใจทั้ง 2 ระดับควบคู่กันไป ซึ่งมีกระบวนการขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่ะ

  1. เหตุที่แนะนำให้เริ่มจากระดับตื้นๆก่อน เพราะการที่จะรู้จักตัวเองในระดับลึกเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับบางคน และอาจจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยให้คำแนะนำด้วย สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น พ่อแม่หรือมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่อยากสร้างความมั่นใจให้ลูกหลานหรือตนเองในระดับที่สามารถ “ออกงาน” ได้ เช่น นำเสนอโครงการในที่ประชุม พูดในที่ประชุม แสดงออกในที่ชุมชน (เช่น ร้องเพลง เต้นรำ ฯลฯ) สำหรับในระดับนี้มีข้อแนะนำที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ คือ ถามตนเองว่า ชอบทำอะไรที่สามารถสร้างเป็นจุดเด่นได้ อยากมีบุคลิกหน้าตาเป็นอย่างไร อยากให้คนทั่วไปรู้จักเราในแง่ไหน (เช่น รู้จักจุดเด่นของเราว่าเล่นดนตรีหรือเล่นกีฬาเก่ง หรือทำอะไรเก่งสักอย่างหนึ่ง) ซึ่งในระดับนี้เป็นระดับที่เน้นว่าอยากให้คนภายนอกยอมรับตัวเรามากกว่าจะเน้นว่าเราอยากเป็นอย่างที่เราเป็นโดยไม่สนใจว่าคนทั่วไปจะชอบหรือยอมรับเราหรือไม่ ถ้ามันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็เป็นไปเถิด แต่ขอบอกว่ากว่าจะสร้างความมั่นใจในระดับนี้ได้ต้องสั่งสมความเข้มแข็งมากพอสมควรเลย เพราะบางทีต้องต่อสู้กับแรงต่อต้านมากมายกว่าจะทำให้คนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราพยายามนำเสนอ และในหลายครั้งก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจฝูงชนได้แม้จะได้ต่อสู้จนหมดลมหายใจ แต่ก็นอนตายตาหลับเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าถูกต้อง

 ขอวกกลับมาระดับตื้นๆก่อน ซึ่งเป็นระดับให้คนทั่วไปยอมรับ คำว่า “ทั่วไป” ก็สื่อความหมายอยู่แล้วว่าเป็นอะไรที่ใครๆเขายอมรับกัน ไม่มาเพ่งเล็งมองดูว่าเราเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ดังนั้นการจัดเสื้อผ้าหน้าผม อบรมเรื่องกิริยามารยาทและบุคลิกภาพทั่วไปจึงเน้นกรอบแบบ “สังคมนิยม” เช่น เขานิยมนุ่งยาว เราก็นุ่งยาว เขานิยมสวยหน้าใสแบบเกาหลี เราก็จัดความสวยแบบเกาหลี ใครก็ตามที่อยากเป็นที่ยอมรับนิยมชมชื่นในสังคมทั่วไป ก็จัดแบบทั่วไปอย่างนี้ได้ไม่ยาก เอาที่สบายใจไม่ขัดหูขัดตาฝ่ากระแสสังคม ซึ่งถ้าใครมองว่าสังคมคิดผิด มองผิด ต้องการคัดค้านโต้แย้งหรือเปลี่ยนสังคม ขอให้รออ่านขั้นตอนท้ายๆของบทความนี้ค่ะ

     2. พัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่อยากเป็นผู้นำ ความมั่นใจของคนเราเกิดขึ้นได้อย่างหนึ่งก็เพราะคนเรารู้จริงในเรื่องที่เราต้องการให้เป็นจุดขายหรือจุดเด่นของเรา เมื่อเราค้นคว้าหาความรู้พัฒนาทักษะจนรู้รอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความมั่นใจมันจะมาเอง เวลาเราจะพูด จะอธิบายหรือตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆเราก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ ไม่ต้องอ้อมๆแอ้มๆ เพราะไม่มั่นใจ

     3. มีเพื่อนฝูงเครือข่ายมาก นี่ก็เป็นตัวช่วยจากภายนอกที่ช่วยเสริมความมั่นใจระดับภายนอก กล่าวคือหากใครก็ตามอยากให้คนยอมรับในสิ่งที่ตนพูด นำเสนอหรือขอการสนับสนุน ความมั่นใจจะเกิดขึ้นเมื่อเชื่อว่ามีเพื่อนฝูงคนสนิทหลายคนที่ชอบเรา และคนเหล่านั้นจะตอบรับเราในทางที่ดี แม้ว่าเราอาจจะพูดไม่คล่องเท่าไหร่ หรือเนื้อหาของเราอาจจะไม่เฉียบ แต่เพราะเราเป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนฝูงมาก การมีเครือข่ายที่ดีจึงช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้มากทีเดียว อย่างไรก็ตามควรกลับไปอ่านข้อ 2 และพยายามพัฒนาความรู้ของตนให้ได้ เพื่อนฝูงและกองเชียร์จะได้สนับสนุนเราได้อย่างสนิทใจค่ะ

      4. มีอารมณ์ขัน นี่ก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยแก้สถานการณ์เมื่อเราทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าฝูงชน ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากความประหม่าตื่นคนตื่นเวที หรือเพราะขาดความรู้ความเชี่ยวชาญ คนบางคนเวลาทำอะไรพลาดแล้วยิ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก บางคนยืนนิ่ง และถ้าเจอฝูงคนที่ใจร้ายหน่อยก็อาจจะโดนโห่ฮาให้เสียความมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก บางคนเจอแบบนี้อาจกลายเป็นฝันร้ายที่หลอนตัวเองไปตลอดชีวิตจนไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรอีก คนเป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์และโค้ชจึงพึงสอนเคล็ดลับนี้ให้ลูกหลาน ลูกศิษย์และลูกค้าให้รู้จักใช้อารมณ์ขันเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันให้เป็น เช่น เมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด ทำผิด ให้รีบขอโทษคนฟังเสียก่อนแล้วหยอดอารมณ์ขันอย่างเช่น “แหม...ดิฉันตื่นเวทีค่ะ พอขึ้นเวทีแล้วชอบลืมว่าจะพูดอะไร ขออภัยให้มือใหม่หัดขับด้วยนะคะ...” โดยทั่วไปแล้วถ้าท่านไม่ทำผิดบ่อยเกินไป และถ้าสาธารณชนไม่ใช่กลุ่มคนที่ใจร้ายจนเกินไป เขาก็มักจะหัวเราะและให้อภัยท่านได้ ไม่ซีเรียส

ทั้งนี้สังคมโลกเราปัจจุบันมีค่านิยม มีแนวโน้ม (Trend) ต่างๆมากมายที่สังคมทำให้คนเราเชื่อว่าเราควรทำตัวแบบไหน คิดแบบไหนจนลืมฟังจิตวิญญาณข้างในของตน บางคนตั้งแต่เล็กจนโตถูกครอบงำด้วยกระแสความต้องการของคนรอบข้างจนไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวตนแท้ของตนเองเลยจนหมดลมหายใจสุดท้าย แต่คนเหล่านั้นก็มีความสุขในชีวิตพอสมควรและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วย ดิฉันได้รู้จักกับบุคคลเหล่านี้หลายคนที่พอเกษียณอายุแล้วบอกว่า ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะไม่มีโอกาสได้ลองทำ กลัวว่าจะไม่สำเร็จ เลยเลือกเป็นเลือกทำในสิ่งที่ไม่ต้องเสี่ยงมาก ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกคิดเลือกเป็นในสิ่งที่ตนเองและคนรอบข้างสบายใจ

เรามาคุยต่อกันเลยค่ะว่าจะมีขั้นตอนและคำแนะนำอะไรบ้าง

จริงใจกับตัวเอง ถามใจตัวเองจริงๆว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไรโดยไม่ต้องนึกว่าจะต้องทำให้ใครถูกใจหรือยอมรับ นี่คือการจริงใจกับตนเองเป็นลำดับแรก เชื่อหรือไม่ว่าแค่เพียงข้อนี้หลายคนก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะพอมองหน้าพ่อแม่พี่น้องที่มีความคาดหวังให้กับตนเองหรือทำการอบรมสั่งสอนกล่อมเกลามาแต่อ้อนแต่ออก ก็ไม่กล้าพูดอะไรที่จะทำให้พวกเขาไม่สบายใจหรือไม่พอใจเสีย

จริงใจกับผู้อื่น เมื่อได้คำตอบแล้วว่าตัวเองชอบอะไร คิดอย่างไร อยากทำอะไร (มีข้อแม้หน่อยว่าสิ่งนั้นต้องไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย) คราวนี้ก็ต้องมั่นใจพอที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองคิดอย่างไร เชื่ออย่างไร มีเหตุผลประกอบความเชื่ออย่างไรหรือถึงไม่มีเหตุผลเพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกก็กล้าที่จะบอกว่ารู้สึกอย่างไร

มั่นใจแต่ไม่ก้าวร้าว การมีความมั่นใจในตนเอง คือการกล้าแสดงออก กล้าโต้แย้งแต่ไม่ใช่ต้องส่งเสียงดังข่มผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว พูดค่อยๆสุภาพอ่อนโยนก็มั่นใจได้ ยิ่งเวลาที่ต้องแสดงความเห็นที่แตกต่างจากผู้อาวุโสกว่ายิ่งต้องสุภาพอ่อนน้อม ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นคุณสมบัติที่ทุกคนชื่นชอบในตัวผู้นำ ตรงกันข้ามกับความหยิ่งยะโส

มั่นใจต้องมี EQ สูง การมีความมั่นใจไม่ใช่การแสดงความดื้อรั้น ยอมหักไม่ยอมงอ ดันทุรังยืนกรานจะเอาตามที่ตัวต้องการ ตรงกันข้าม คนที่มั่นใจคือคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง ควบคุมบริหารอารมณ์โกรธ ดีใจ ผิดหวัง เสียใจได้ดี กว่าคนเราจะประสบความสำเร็จสมหวังในชีวิตได้ต้องผ่านทุกเหตุการณ์ทุกอารมณ์มาแล้ว เมื่อสมหวังก็ไม่ต้องดีใจจนลิงโลดมากเกินไป และเมื่อเสียใจก็ไม่ถึงกับอยากฆ่าตัวเองหรือคนอื่นให้ตาย ทางที่ดีพ่อแม่ครูอาจารย์ควรให้เด็กๆทุกคนได้เล่นกีฬาจะได้ฝึกการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่ใช่รู้จักแต่ชนะสมหวังอย่างเดียว แพ้มั่ง พลาดมั่งเป็นของธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเสียหน้ามากมาย ผิดพลาดก็ขออภัย พลาดพลั้งก็ให้รู้จักว่าอะไรทำจึงพลาดพลั้ง ให้ถือเป็นบทเรียนที่จะจดจำและหลีกเลี่ยงไม่พลาดซ้ำ

การมี EQ สูงยังหมายถึงการยอมรับถึงข้อจำกัดของตนเองได้โดยไม่รู้สึกขมขื่นผิดหวังและท้อถอยหมดแรงที่จะทำสิ่งอื่นต่อไป คนทุกคนมีข้อจำกัด เช่น อยากเป็นนักร้อง แต่พลังเสียงแค่ระดับปานกลาง ร้องได้แค่ปานกลาง อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในสาขาใดสาขาหนึ่ง แต่มันสมองคิดได้แค่ระดับสูงแต่ไม่สูงที่สุด หรือบางทีสมองทำได้แต่ร่างกายอ่อนแอสู้งานหนักไม่ไหว หรือบางทีทั้งเก่งฉลาด ทั้งแข็งแรง แต่ไม่มีคนสนับสนุน หรือโดนคนกลั่นแกล้งทำให้ไม่ถึงดวงดาว ความสำเร็จของคนเรามันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราคุมได้คืออารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ชนะอะไรก็ไม่เท่ากับชนะใจตนเองยังคงเป็นคำพูดที่ถูกต้องเสมอ ปัจจัยข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากๆของการมีความมั่นใจ เพราะหากคิดจะทำในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้อง แต่สังคมรอบข้างไม่ชอบ ไม่สนับสนุน เพราะคนในสังคมล้วนเป็นผู้เห็นแก่ตัวไร้คุณธรรม คนที่มี EQ สูงจะไม่หวั่นไหวเสียใจจนสูญเสียความมั่นใจ แต่จะรวบรวมสติและความเข้มแข็งของจิตใจเพื่อเดินหน้าสู้ตามอุดมการณ์ของตนเองให้ได้

มีความยืดหยุ่น (Resilience) คำว่า Resilience นี้หมายความว่าเมื่อมีอะไรมากระทบกระแทกก็สามารถรับมือแล้วเด้งกลับมาสู้ได้อีก การที่คนเราจะเป็นคนยืดหยุ่นได้แสดงว่าต้องมีแผนสำรอง หรือรู้จักปล่อยวาง พลาดแล้วไม่จมดิ่ง แต่พักสักครู่ก็หาหนทางแก้มือแก้ตัวได้ ความมั่นใจไม่ได้หมายความว่ายืนกรานจะทำแบบเดิมโดยไม่มีการปรับเปลี่ยน เมื่อแผนเดิมไม่ได้ผล ก็สามารถยอมรับความผิดพลาด ไม่ยึดตัวตนอัตตามากจนเกินไปจนไม่ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนวิธีได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจุดยืนหรืออุดมการณ์ คนที่มีความมั่นใจจริงๆจะไม่รู้สึกเสียหน้าหรือเสียความมั่นใจที่จะยอมรับว่าบางครั้งตนเองก็คิดผิด แล้วถ้าคนอื่นคิดถูกก็ไม่มีปมด้อย แต่ยอมรับความคิดคนอื่นอย่างหน้าชื่นตาบาน

ยึดมั่นในคุณธรรม ข้อนี้ก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากๆของการมีความมั่นใจ เพราะอะไรหรือคะ? เพราะคนที่คิด พูดและทำในสิ่งที่ถูกที่ควรจะไม่มีความกังวลว่าตนเองทำอะไรผิด จะถูกสอบถามกี่หนกี่ครั้งก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำไม่ต้องโกหก คนที่โกหกหลอกลวงคนอื่น โกงคนอื่น หรือไม่จริงใจ แอบนินทาใครก็จะเหมือนวัวสันหลังหวะ กลัวโดนจับได้สักวัน ถ้าจะถามดิฉันว่าปัจจัยอะไรจะทำให้คนรู้สึกมั่นใจมากที่สุดจากภายในโดยที่คนๆนั้นอาจจะไม่สวยหล่อ ไม่รวย เก่งระดับธรรมดาๆ ตำแหน่งไม่สูง แต่มันมั่นใจ เพราะความดีทำให้มั่นใจ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วค่ะ