Trumponomics (3): Captain America ที่ชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์

Trumponomics (3): Captain America ที่ชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์

กัปตันอเมริกา ตัวการ์ตูนฮีโร่ชาวอเมริกัน ผู้นำซึ่งเป็นสัญลักษณ์การปกป้องสหรัฐ

ด้วยความรักชาติ ผ่านเครื่องแบบ และโล่สีธงชาติ ที่ไม่เคยทำให้คนอเมริกันผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว ผ่านมาเกือบหนึ่งศตวรรษ ท่ามกลางความวุ่นวาย และวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ชาวอเมริกันหลายคนฝากความหวังไว้ที่กัปตันอเมริกาที่ชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์

ภายใต้นโยบาย “Make America Great Again” ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มองว่าความเสื่อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับสหรัฐ เป็นเพราะการดำเนินนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศในอดีตที่ผิดพลาด นำพาซึ่งความเสื่อมถอยมายังเศรษฐกิจสหรัฐฯ เขามองว่าการที่อเมริกาได้ลงนามในความตกลงการค้าเสรีหลายฉบับไม่เป็นประโยชน์ต่ออเมริกา กลับยังฉุดรั้งเศรษฐกิจมากกว่า ทั้งนี้ ทรัมป์จะยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ผ่านนโยบาย “America First” โดยทรัมป์เห็นว่านโยบายที่ต้องแก้ไขทันทีมี 3 ประการ ดังนี้

1.ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์แปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ถอนสหรัฐฯ ออกจาก TPP อย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่า TPP จะเปิดช่องให้คนต่างชาติมาแย่งงานคนอเมริกัน ธุรกิจสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิต ไม่ได้เพิ่มการจ้างงานในสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้คนอเมริกันหางานยากขึ้นอีก ซึ่งเป็นนโยบายที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีโอบามา 

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ประธานาธิบดีมีอำนาจเต็มในการยับยั้ง TPP ที่โอบามาได้ลงนามไปแล้ว แต่ยังไม่มีการให้สัตยาบัน โดย TPP มีข้อกำหนดพิเศษว่า จะไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกใด ๆ เลย หากไม่มีสหรัฐฯ และญี่ปุ่นร่วมให้สัตยาบัน (ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่ให้สัตยาบัน) ซึ่งหากสมาชิก TPP อื่น ๆ ไม่แก้ไขข้อกำหนดดังกล่าว TPP ก็จะถูกยกเลิกโดยปริยายนั่นเอง ล่าสุด สมาชิก TPP เริ่มพิจารณาความเป็นไปได้หากไม่มีสหรัฐ ใน TPP

ทรัมป์มองว่าการเจรจาการค้าในรูปแบบทวิภาคี (Bilateral Agreements) ตอบโจทย์สหรัฐ ได้มากกว่า เพราะการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันโดยตรงจะตอบสนองความต้องการสหรัฐฯ อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับการเจรจาการค้าในรูปแบบพหุภาคีขนาดใหญ่ที่สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้ทุกประเทศในระดับเดียวกัน การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทวิภาคีนี้เอง อาจเป็นเหตุผลหนึ่งให้ทรัมป์เลือกเฉพาะคนสนิท และมีแนวคิดในลักษณะเดียวกันเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เพราะไม่ต้องการถูกแทรกแซงจากคนนอd

2.ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Agreement: NAFTA) ทรัมป์จะลงนามใน Executive Order เพื่อเจรจาแก้ไข NAFTA กับแคนาดาและเม็กซิโก โดยหากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ จะถอนตัว เนื่องจากเขามองว่า NAFTA ที่มีผลบังคับใช้แล้วกว่า 23 ปี ทำให้ธุรกิจในสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก เพื่อชิงความได้เปรียบจากต้นทุนที่ถูกกว่า แล้วส่งสินค้ากลับมาขายยังสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกเพิ่มขึ้นทุกปี คนเม็กซิกันมาแย่งงานคนอเมริกันมากขึ้น ดังนั้น ทรัมป์จึงผลักดันให้มีการเจรจา NAFTA ใหม่ เพื่อขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศเม็กซิโกให้เป็นร้อยละ 35 และดึงธุรกิจสหรัฐ กลับมา หากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ อาจถอนตัวจาก NAFTA ทั้งนี้ กระบวนการเจรจาใหม่หรือการถอนตัวจาก NAFTA จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส และทรัมป์ไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 35 ได้ หากไม่ได้รับคำแนะนำจากสภาคองเกรส ยกเว้นทรัมป์ทำผ่านกฎหมายเฉพาะ ซึ่งเปิดช่องในสถานการณ์พิเศษให้สามารถทำได้

3.ความสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีนและ WTO นอกจากเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังต้องการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 45 เพื่อตอบโต้จีน เพราะเห็นว่าจีนใช้การบิดเบือนค่าเงินเพื่อสนับสนุนการค้า ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจีนจะตอบโต้สหรัฐฯ ผ่านการขึ้นภาษีนำเข้าเช่นกัน และอาจเป็นชนวนสงครามการค้าได้ นอกจากนั้น จีนอาจร้องเรียนไปยัง WTO โดยหากสหรัฐฯ จะชูประเด็นเรื่องจีนบิดเบือนค่าเงิน อาจต้องแสดงหลักฐานที่หนักแน่น เนื่องจากในเดือนตุลาคม 2559 สหรัฐฯ ได้แจ้งว่าจีนไม่เข้าข่ายเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน

ดังนั้น นโยบายกดดันจีนในส่วนของค่าเงินหยวนอาจจะถูกล้มเลิกไปในที่สุด ยกเว้นสหรัฐฯ จะถอนตัวจาก WTO ด้วย ซึ่งจะทำให้สหรัฐมีความชอบธรรมในการขึ้นภาษีจีนทันที อย่างไรก็ดี WTO ได้ชี้แจงว่าขณะนี้ สหรัฐฯ ยังไม่ได้แสดงเจตจำนงถอนสมาชิกภาพแต่อย่างใด

นโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์นับว่าค่อนข้างแตกต่าง หรือแม้กระทั่งตรงกันข้ามกับโอบามาอย่างสิ้นเชิง คาดว่าในระหว่างที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง 4 ปี เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีทิศทางต่างออกไป จากนโยบายต่อไปนี้

1.ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ในระยะสั้น บางอุตสาหกรรมของสหรัฐ ที่พึ่งพา supply chain ต่างประเทศอาจได้รับผลกระทบ หากไม่สามารถหาแหล่งผลิตภายในประเทศได้ทัน เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก ในระยะยาว การเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร การกีดกันการแสวงหาต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดผ่านการย้ายฐานการผลิต การที่เอกชนสหรัฐฯ เสียโอกาสในการหาแหล่งอุปโภคบริโภคสินค้าที่มีต้นทุนที่ถูกกว่า อาจส่งผลให้ต้นทุนสินค้าบริโภคภายใน สินค้าส่งออกและนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น และเร่งอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี นโยบายกีดกันการค้าที่เข้มงวดเกินไป ทำให้ประเทศจีนและเม็กซิโกอาจโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ในที่สุด

2..ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ต่อประเทศไทย ยังมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากทรัมป์ยังไม่มีนโยบายกีดกันต่อไทย อย่างไรก็ดี หากกระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์ผ่านการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น การส่งออกของไทยอาจได้รับผลกระทบบ้างผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ถ้า TPP ถูกยกเลิกไปจะช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะย้ายฐานการผลิตไปยังกลุ่มสมาชิก TPP สุดท้ายแล้ว การเจรจาการค้าต่างๆ กับสหรัฐฯ ในอนาคตคาดว่าจะเป็นเชิงทวิภาคีทั้งหมด ล่าสุด มีข่าวว่า สหรัฐ สนใจที่จะเจรจาทวิภาคีกับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย และไทย ซึ่งหมายความว่า ความตกลงการค้าเสรีไทย-สหรัฐ อาจกลับมามีความคืบหน้าอีกครั้ง หลังจากหยุดไปเป็นเวลากว่า 10 ปี

เมื่อกัปตันอเมริกาคนล่าสุดมีสโลแกนว่า America First ประทุความเป็นชาตินิยมอย่างเข้มข้น อาจถึงเวลาแล้วที่กัปตันเม็กซิโก และกัปตันจีนจะปรากฏตัวเพื่อตอบโต้กัปตันอเมริกา ย้อนกลับไป ในปี 2559 กัปตันอเมริกาสู้กับไอรอนแมน ในสมรภูมิที่เรียกกันว่า “Civil War” ในปี 2560 นี้ สมรภูมินี้อาจเป็น “Global Trade War” ก็ได้ การผลัดกันตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และจีน ใครจะเป็นผู้ชนะ กัปตันอเมริกาจะเป็นผู้นำโลกต่อไปหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามดูกัน