เมื่อเรื่องโกหกกลายเป็น 'ข้อเท็จจริงทางเลือก'

เมื่อเรื่องโกหกกลายเป็น 'ข้อเท็จจริงทางเลือก'

ทำเนียบขาวยุคโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีมีอะไรแผลงๆ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 ในการเมืองสหรัฐหลายเรื่องหลายราวจริงๆ

ที่ผมเอามาเทียบเคียงให้ดูคือข้อความทวีตของทรัมป์เมื่อวันที่ 22 ม.ค. สองวันหลังพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

ข้อความแรกเวลา 7.47 น. ทรัมป์บอกว่าดูข่าวทีวีเห็นภาพคนชุมนุมประท้วงเขาแล้ว ก็เกิดคำถามว่าถ้าพวกเขาไม่พอใจตน ทำไมคนเหล่านี้ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง “พวกเซเลบทำอย่างนี้เสียหายชื่อเสียงตัวเองแน่ ๆ”

ที่ทรัมป์เขียนอย่างนี้เพราะหงุดหงิดกับผู้คนจำนวนกว่าล้านคนทั่วสหรัฐ ที่ออกมาเดินขบวนต่อต้านเขา ในประเด็นที่เขาไม่เคารพสิทธิผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย

ในคำปราศรัยของเขา ไม่มีการเอ่ยถึงว่าจะรับฟังความเห็นที่แตกต่างไปจากเขา มิหนำซ้ำยังประกาศจะเดินหน้าตามนโยบายปิดกั้น การแสดงความเห็นของคนอื่นโดยไม่สนใจว่า ผู้คนกำลังรวมตัวกันเพื่อต่อต้านเขาหนักหน่วงเพียงใด

ต่อมาเวลา 9.23 น. ห่างไปไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ปรากฏข้อความจากทวิตเตอร์ทรัมป์อีก ครั้งนี้เปลี่ยนน้ำเสียงไปโดยสิ้นเชิง เพราะเขาบอกว่าการประท้วงเป็นเสาหลักแห่งประชาธิปไตย “แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็เคารพสิทธิของคนในการแสดงความคิดเห็น”

นี่เป็นสองข้อความจากคนเดียวกันหรือเปล่า?

คำถามของผมก็คือว่าทรัมป์ยอมส่งมือถือที่ใช้ ก่อนวันเดินเข้าทำเนียบขาวให้หน่วยรักษาความปลอดภัย ที่ได้ขอให้ส่งอุปกรณ์ส่วนตัวเก็บเข้ากรุ เพราะเสี่ยงกับการถูกแฮ็กจริงๆ หรือเปล่า

หากเขาส่งไปแล้ว คำถามก็คือว่าเขาเปลี่ยนมือถือมาเป็นส่วนตัว และเริ่มทวิตตามอารมณ์ของตัวเองอีกแล้วกระนั้นหรือ?

หรือข้อความที่สองมาจาก “ทีมงาน” ของทรัมป์ที่ต้องคอยลดทอนความเสียหายจากพฤติกรรมประหลาด ๆ ของท่านผู้นำ?

เพราะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนที่มาบริหารประเทศ ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก จะมีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะได้ถึงขนาดนี้

ล่าสุดมีศัพท์การเมืองใหม่สองวลี จากคนใกล้ชิดทรัมป์คือที่ปรึกษาอาวุโส Kellyanne Conway

เธอบอกว่าทรัมป์จะไม่เปิดเผยรายละเอียดการเสียภาษีของตัวเอง “เพราะชาวบ้านไม่แคร์” (“…because people don’t care”)

แปลว่าทรัมป์เหมาเอาเองว่า ประชาชนคนอเมริกันไม่สนใจว่าผู้นำของเขา มีอะไรซ่อนเร้นเกี่ยวกับการเสียภาษีส่วนตัวกระนั้นหรือ? ถ้าพูดอย่างนั้นก็เท่ากับดูถูกสติปัญญา และความรู้สึกของเจ้าของประเทศผู้เสียภาษีทุก ๆ ท่าน

ถ้าเขาคิดอย่างนั้นจริง ก็แปลว่าระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐ กำลังเข้าขั้นเสื่อมโทรมอย่างหนักหน่วงแล้ว เพราะเราเคยเชื่อมาตลอดว่าคนที่อเมริกามีความตื่นตัว และรู้ทันนักการเมืองมากกว่าใคร ๆ ในโลกนี้ ต้องการตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลสาธารณะ ที่อาสามาทำงานให้ประชาชนอย่างละเอียดทุกย่างก้าว

แต่วันนี้ทรัมป์บอกว่า “ช่างมัน ฉันไม่แคร์” เพราะเขาเชื่อว่า “ชาวบ้านเขาก็ไม่แคร์ว่าผมหนีภาษีหรือไม่”

อีกวลีหนึ่งที่กลายเป็นเรื่องฮือฮามากจากปากของคนสนิทคนเดิมคือ “alternative facts” หรือแปลเป็นไทยก็คงได้ความว่า “ข้อเท็จจริงทางเลือก”

ที่ฮามากเพราะเธอปกป้องโฆษกทำเนียบขาว ที่ออกมาอ้างว่าจำนวนคนที่ไปร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ “สูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ” ทั้งๆ ที่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ อีกทั้งสื่อมวลชนต่างก็ตรวจสอบแล้วพบว่าจำนวนผู้มาร่วมงานมีน้อยกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนตอนโอบามารับตำแหน่งรอบสองด้วยซ้ำไป

เมื่อพิธีกรทีวีซักนางคอนเวย์ว่าทำไมโฆษกของทรัมป์ จึงพูดจาบิดเบือนได้ขนาดนั้น เธอตอบว่า “นั่นมันเป็น alternative fact” ซึ่งหมายความว่า “ข้อเท็จจริง” ของสื่อเป็นอย่างหนึ่งแต่ของโฆษกทำเนียบขาวเป็นอีกอย่างหนึ่ง เธอจึงเรียกมันว่า “ข้อเท็จจริงทางเลือก”

พิธีกรคนนั้นย้อนแย้งว่า “ไม่มีครับ ข้อเท็จจริงทางเลือกไม่มีครับ เพราะมันก็คือความเท็จดีๆ นี่เองแหละ”

ตีความได้ว่าวัฒนธรรมการเมืองแบบทรัมป์ต่อไปนี้จะมี “ข้อเท็จจริง” หลายชุด ใครคนอื่นจะว่าอย่างไรเป็นเรื่องคนอื่น แต่สำหรับทรัมป์แล้ว เขามี “ข้อเท็จจริงทางเลือก” ของเขาเอง และไม่จำเป็นจะต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่สังคมรับรู้และตรวจสอบด้วยซ้ำไป

เห็นหรือยัง การเมืองมะกันวันนี้เพี้ยนไปมากโขครับ