จับตาให้ดี : ทรัมป์กำลังก่อสงครามเย็นโลก รอบใหม่

จับตาให้ดี : ทรัมป์กำลังก่อสงครามเย็นโลก รอบใหม่

ผมมานั่งเขียนคอลัมน์ที่ญี่ปุ่น...พรุ่งนี้ 7 ธ.ค.2559 ครบ 75 ปี

 ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์​ ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ ที่ญี่ปุ่นปฏิบัติการทางทหารพลิกสถานการณ์ ดึงให้สหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองจนตัวเองต้องกลายเป็นผู้แพ้อย่างราบคาบ

พรุ่งนี้ผมจะไปเมืองนางาซากิซึ่งเป็นเป้าการหย่อนระเบิดปรมาณูของสหรัฐ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2488 เพียงสามวันหลังฮิโรชิม่าถูกระเบิดทำลายล้างจนนำไปสู่การยุติของสงครามเมื่อ 71 ปีมาแล้ว

เพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐกับนางาซากิของญี่ปุ่นเป็นสองขั้วของสงครามโลก ต่อมาสองชาตินี้กลายเป็นพันธมิตรแข็งแกร่งจนถึงวันนี้

บทเรียนประวัติศาสตร์ต้องทบทวนอยู่ตลอดเวลา เพราะวันนี้เกิดผู้นำใหม่ที่สหรัฐในชื่อของโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งประกาศว่าญี่ปุ่น (รวมถึงเกาหลีใต้) ซึ่งเป็นคู่สัญญาพันธกิจทางความมั่นคง ตั้งแต่หลังสงครามโลกเพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ จะต้องควักกระเป๋าเพื่อใช้จ่ายด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และบุคลากรทางทหารเพิ่มขึ้น

นโยบาย America First ของทรัมป์กำลังจะสร้างความตึงเครียดไปทั่ว เหตุเพราะไม่รู้ว่าทรัมป์จะเอาอย่างไรกับเอเชียและโลกใบนี้ อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเขาจะสลับเพื่อนเก่ากับเพื่อนใหม่ตามสไตล์ลูกทุ่งอย่างไรหรือไม่

สัญญาณแรกแห่งความยุ่งยากก็ปรากฏขึ้นโดยไม่รอช้า เพราะทรัมป์คุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ของไต้หวันอย่างไม่สนใจว่าปักกิ่งจะเดือดดาลหรือไม่เพียงใด

แค่คุยกันประมาณเจ็ดนาทีก็เกิดคลื่นยักษ์ในวงการการทูตระหว่างประเทศแล้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกในกว่า 40 ปี ที่ผู้นำสหรัฐติดต่อโดยตรงกับผู้นำไต้หวันซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้จีนโวยวายว่าเป็นการละเมิดหลักการ จีนเดียว ที่วอชิงตันยอมรับกับปักกิ่งมาตลอด

จากนั้นอีกหนึ่งวัน ทรัมป์ก็โทรไปคุยกับประธานาธิบดีดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ประมาณสิบนาที ทำให้ผู้นำลีลาโผงผางของฟิลิปปินส์เล่าขานต่อว่าทรัมป์ชื่นชมการทำงานของเขา ขอให้ประสบความสำเร็จในภารกิจซึ่งรวมถึงการปราบปรามผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย

ทรัมป์ทำการบ้านมาก่อนมากน้อยแค่ไหนไม่รู้ แต่พอพูดอย่างนี้ก็เกิดการตีความทันทีว่าเขาเห็นพ้องกับการที่ดูเตอร์เตกระทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ที่เข้าข่ายสงสัยกว่า 3,000 คน หลังจากผู้นำฟิลิปปินส์คนนี้ขึ้นครองอำนาจหรืออย่างไร

แค่สองเรื่องนี้ทรัมป์ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองในเอเชียพอสมควรแล้ว นี่ขนาดยังไม่เข้าไปนั่งทำเนียบขาวยังก่อให้เกิดความงุนงงได้เพียงนี้ หากสามารถชี้นิ้วสั่งการได้อย่างเต็มที่ จะพลิกสมการการเมืองระหว่างประเทศไปอีกมากมายอย่างไรไม่มีใครคาดการณ์ได้

จีนคงกำลังประเมิน “วุฒิภาวะ” ของทรัมป์อยู่ ท่าทางต่อทรัมป์เรื่องสนทนากับผู้นำไต้หวันจึงไม่ถึงกับอาละวาดฟาดฟันเหมือนแต่ก่อน แทนที่จะส่งหนังสือ “ประท้วง” ไปวอชิงตัน ก็เพียงแค่ส่งจดหมาย “เตือนสติ” ขอให้พูดจาและดำเนินนโยบายต่อจีนและไต้หวันอย่าง ระมัดระวัง กว่าเดิม

เหมือนพี่สอนน้องอย่าบุ่มบ่าม จะคิดอะไรทำอะไรก็ใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน เพราะน้องมาทีหลัง ไม่รู้ว่าพี่ๆ เขาทำอะไรกันมาก่อน หากผลีผลามโวยวาย เตะข้าวของในบ้านคนอื่นแตกกระจุยกระจายก็จะเป็นเรื่องที่ชิ่งกลับมาทำลายตัวเองได้

ผมเข้าใจว่าที่ทรัมป์พูดจากับไช่อิงเหวินนั้น เกิดจากที่ปรึกษาคนหนึ่งของเขา มีความสนิทคุ้นเคยกับกลุ่มล็อบบี้ให้ไต้หวันที่วอชิงตัน ต้องการจะ ลองของ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ สร้างคะแนนและสร้างบารมีให้กับตัวเองได้ไม่น้อย

ทรัมป์จะต้องเจอกับกรณีแบบนี้อีกเยอะ เพราะคนใกล้ชิดมาจากกลุ่มผลประโยชน์หลายด้าน จึงอาจจะ “ชงเรื่อง” ต่างๆ เพื่อหวังผลให้กลุ่มตนได้ประโยชน์โดยไม่สนใจว่าอะไรที่ทำไป จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สหรัฐเป็นผู้ไปก่อร่างสร้างเอาไว้แต่อย่างไร

ผมมานั่งเฝ้ามองข่าวหลายเรื่องราวที่ญี่ปุ่นสัปดาห์นี้ จึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่มีต้นเหตุจาก สึนามิ ลูกใหญ่ที่มีชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ นี่แหละ

บางคนที่นี่ถึงกับกระซิบผมว่า "ทรัมป์ทำอย่างนี้กำลังจะก่อให้เกิดสงครามเย็นระดับโลกรอบใหม่แล้ว”

ห้ามคลาดสายตาแม้แต่จังหวะเดียว!