'ช้อป-เที่ยว'ช่วยชาติ มาตรการดีแต่ยังไม่ตรงจุด

'ช้อป-เที่ยว'ช่วยชาติ มาตรการดีแต่ยังไม่ตรงจุด

ใกล้สิ้นปีหลายคนเริ่มวางแผนเดินทางท่องเที่ยว ช่วงปีใหม่กันแล้ว หลายหน่วยงานเริ่มเตรียมแผนทำงานสำรองวันหยุด

 ช่วงนี้ก็พอดีมีมาตรการจากภาครัฐ ที่มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 29 พ.ย.2559 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยว ช่วงเดือนธ.ค.2559 (1-31 ธ.ค.) มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่มเติมจากที่ก่อนหน้านี้หลายเดือน มีมติครม.เรื่องเดียวกันนี้ คือให้นำเงินค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยว (ค่าแพคเกจทัวร์ และห้องพักโรงแรม) ตลอดทั้งปี 2559 (1 ม.ค.-31ธ.ค.) สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาทเช่นกัน ทำให้มาตรการส่งเสริมการท่องที่ยวโดยภาครัฐ เท่ากับมีการจัดให้นำเงินจากการท่องเท่ยว 30,000 บาท มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

ถามว่าประชาชนยินดีและตอบรับเข้าร่วมมาตรการนี้เพียงใด ก็ต้องบอกว่ามีอยู่พอสมควร แต่มาตรการนี้น่าจะช่วยได้เฉพาะผู้มีรายได้ระดับกลาง ซึ่งก็ตรงกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศก็คงไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะเดินทางท่องเที่ยว ครอบครัวที่ต้องประหยัดก็คงไม่มีแผนท่องเที่ยวใช้เงินถึง 3 หมื่นบาท จึงคงไม่ได้สิทธิประโยชน์จากมาตรการนี้ แต่โดยรวมแล้วก็น่าจะดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนมาตรการ ช้อปช่วยชาติ ที่หลายคนคาดหวังจะเห็นออกมาก่อนสิ้นเดือนพ.ย.2559 เพราะคาดว่ามาตรการน่าจะเปิดช่วงให้การช้อปปิ้ง เพื่อมาลดหย่อนภาษีตลอดเดือนธ.ค.2559 แต่มติครม.เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ไม่มีเรื่องนี้ออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่ากระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการนี้เข้าที่ประชุมครม.  แต่อาจยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องตัวเลขว่าจะจัดใหม่ 15,000 บาท หรือ 30,000 บาท เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย หลายคนก็ยังคงรอมาตรการนี้ เพราะดูแล้วน่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า อย่างน้อยก็สามารถนำยอดจับจ่ายใช้สอยในสินค้าจำเป็น มารวมกันเป็นยอดเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องมีการวางแผนท่องเที่ยวเพิ่ม ซึ่งก็น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงมากกว่า

ทั้งสองมาตรการเป็นแนวคิดดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สำหรับผู้มีรายได้จำกัดคงไม่ได้รับประโยชน์มากนัก ความเห็นส่วนตัวอยากให้รัฐมองเรื่องการช่วยประชาชน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ด้วย เพราะปัญหาทุกวันนี้ของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลาง มีปัญหาเงินในกระเป๋ามีค่าน้อยลง หลายคนมีค่าไม่พอสำหรับการใช้จ่าย มาตรการที่จะกระตุ้นใช้จ่ายจึงดูเหมือนจะหักเห ออกจากปัญหาที่แท้จริง 

มันจะดีมากกว่านี้ หากมาตรการรัฐออกมาในแนวทางช่วยลดภาระให้กับประชาชน ในด้านต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือภาระหนี้สินที่ยังมีสูงเกินกำลัง ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้มีความต้องการช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก