ส่องกระจกการศึกษาไทยครั้งที่เท่าไร ? (ครั้งที่นับไม่ถ้วน) จบ

คําทํานายของฝรั่ง ตามคําทํานายของนายอัลวิน ทอฟเลอร์ “The illiterate of the 21st
century will not be those who cannot read and write, but those who cannot learn, unlearn, and relearn.” ถ้าแปลตรงตัวจะได้ความว่า “ในศตวรรษที่ 21 ผู้ที่ไม่รู้หนังสือจะไม่ใช่ผู้ที่อ่านไม่ออกหรือ เขียนไม่ได้แต่จะเป็นผู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ (Learn) ผู้ที่ยังยึดติดแต่องค์ความรู้เดิม (Unlearn) และผู้ ที่ไม่สามารถเรียนรู้ใหม่ (Relearn)”
แต่สถานการณ์ในบ้านเรานั้นยังคงห่างไกลกับสามคําที่ฝรั่งท่านนี้ ได้กล่าวไว้เพราะเพียงแค่ให้กําลังหลักของชาติอ่านให้ออกเขียนให้ได้ จับประเด็นให้เป็น ค่าดัชนี้ชี้วัดที่ ออกมาก็ยังคงน่าเป็นห่วงแล้วจะไปเอาอะไรกับเรื่องที่ต้องใช้การเรียนรู้ศาสตร์บริสุทธิ์ในเชิงลึก ใช้ตรรกะในการคิด พิเคราะห์และพิจารณาหาสิ่งที่เป็นเหตุเพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ของการกระทํา
คงบอกได้อย่างทันทีว่ายังไม่ต้องคิดไปไกลถึงขนาดนั้น ปัญหาเหล่านี้ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่มีอํานาจก็เล็งเห็น แต่วิธีการแก้ไขนั้นยากลําบาก เพราะความที่ไม่สามารถถอนความเชื่อ (Unlearn) ในสิ่งเก่าๆ ที่ยังฝัง อยู่ในรากเหง้าวัฒนธรรมการศึกษาไทยคือ ต้องเรียนโรงเรียนดี เรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง พยายามเรียนให้ได้เกรดสูง จบให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ออกมาทํางานในบริษัทใหญ่ๆ หรือบริษัทฝรั่ง ยิ่งถ้าจบจากเมืองนอกเมืองนาแล้วกลับมาเมืองไทยยิ่งเหมือนเงาะถอดรูป
ซึ่งในช่วงหลายทศวรรษที่ ผ่านมาโมเดลนี้ได้สร้างคนเก่ง คนมีชื่อเสียงมาแล้วในบ้านเรามากมาย แต่ก็กําลังจะถึงจุดแตกดับเมื่อ คลื่นยุคที่ 3 มาถึง เส้นแบ่งแยกและความเหลื่อมล้ําทางการศึกษากําลังจะถูกทลาย
กล่าวคือไม่ว่าจะ จบการศึกษาจากที่ใดมาก็ตามจะได้รับการยอมรับที่เท่าเทียมกันนั่นก็คือ ตกงานเหมือนกันหมด การตกงานของบัณฑิตในบ้านเราที่ผ่านมา เปรียบเสมือนมะเร็งร้ายที่กําลังเบ่งบาน ออกดอก ออกผลในปัจจุบัน จุดตายกําลังมาเยือน สิ่งที่ทําไว้เมื่อ 145 ปีก่อนได้แสดงอิทธิฤทธิ์ไปทุกหย่อมหญ้า
สิ่งที่คิดว่าดีเริ่มไม่เป็นตามที่คาดในโลกที่มีการปรับตัวเข้าสู่คลื่นยุคที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการนําเทคโนโลยี มาใช้ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทําให้ไม่ต้องใช้แรงงานคนเหมือนแต่ก่อน มีการปลดคนงานเป็นพันคนใน หลายๆ บริษัท และเมื่อการศึกษาในบ้านเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การผลิตคนเพื่อไปทํางานในสถาน ประกอบการแทบจะ 100%
แต่พอไม่มีบริษัทให้ทํางานกลุ่มบัณฑิตที่จบมาใหม่ในทุกๆ ปีบวกกับ ของเดิมที่ยังหางานทําไม่ได้จะหาทางออกไปในทิศใด เพราะทั้งชีวิตได้ถูกหล่อหลอมมาว่าเรียนจบ มาแล้วต้องไปทํางานที่นั่นที่นี่ เรียนสาขานี้ทํางานบริษัทนี้ได้ ก็ถึงคราวที่ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ลองมองสถานการณ์ในปัจจุบันที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลง ยุคที่น้ำมันกําลังจะถูกทดแทนที่ ด้วยพลังงานไฟฟ้า ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาทํางานแทนมนุษย์ ยุคที่การสื่อสารกําลังจะไปสู่ทุกหนแห่ง ด้วยพลังของเทคโนโลยี ยุคที่สิ่งอํานวยความสะดวกทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันอยู่ในทุกสรรพสิ่ง และสุดท้ายเป็นยุคที่การศึกษาไทยเต็มไปด้วยความย้อนแยง แบ่งแยกการเรียนระหว่างวิทย์และศิลป์ อย่างชัดเจนในระดับชั้นหนึ่ง แต่ก็ยังจับมารวมกันอีกในระดับชั้นที่สูงขึ้น โดยมีการให้เหตุผลและออก กฎเกณฑ์ เพื่อใช้เป็นแรงผลักดันในการบอกกับสังคมว่าสิ่งที่ตนเองนั้นทําถูกต้องแล้ว
ส่วนจะถูกหรือ ผิดทุกท่านก็พิจารณาเอาเองเถิดว่า ทําไมสถานการณ์ปัจจุบันด้านการศึกษาถึงได้มีสภาพเฉกเช่นนี้ ต่อให้มีฝรั่งแบบนายอัลวิน ทอฟเลอร์ อีกร้อยคนมาช่วยก็มิอาจจะใช้คําว่า Unlearn ในสังคมไทยได้ ละกระมัง
สรุปและข้อเสนอแนะ จากปัญหาที่สะสมกันมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นตะกรันที่ยากจะหาสิ่งใดมาแซะให้หลุด ลอกออกจากวิถีของการศึกษาในบ้านเรา ถ้ายังคงไม่มีการสร้างทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง ไม่มี การสร้างแบรนด์เป็นของเรา ไม่มีเวทีในการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในการนําความรู้ที่ร่ําเรียนไป ใช้จริง คอยหวังพึ่งแต่ปัจจัยภายนอก และที่สําคัญต้องนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจากพ่อหลวง ของเรามาประยุกต์ใช้ในยุคที่คลื่นแห่งเทคโนโลยีกําลังถาโถมเข้ามา
หากไม่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ในอีก ยี่สิบปีข้างหน้าเราก็จะต้องมานั่งส่องกระจกการศึกษาไทยครั้งที่เท่าไร ? (ครั้งที่นับไม่ถ้วน) กันอีกครั้ง สวัสดีครับ
------------------------------
ผศ.ดร. อาษา ตั้งจิตสมคิด
ที่ปรึกษาแผนกวิจัยและพัฒนาเกม อาษาโปรดักชัน [email protected]







