สิงคโปร์ฝึกทุกครอบครัว ร่วมสกัดเหตุก่อการร้าย

สิงคโปร์ฝึกทุกครอบครัว ร่วมสกัดเหตุก่อการร้าย

สิงคโปร์เอาจริงกับการป้องกัน การก่อการร้าย ด้วยการเปิดตัวโครงการ SGSecure

ฝึกคนทุกครอบครัวให้เฝ้าระวังพฤติกรรมน่าสงสัย มี apps เตือนภัยและรายงานกิจกรรมส่อไปทางก่อเหตุร้ายได้

นายกฯ หลีเสี่ยนหลงเคยประกาศว่า ภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรง ISIS ได้แทรกซึมเข้ามาในประเทศแล้ว ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด จึงต้องสกัดกั้นทุกวิถีทาง

ล่าสุดโครงการนี้เข้าไปถึงระดับทุกครัวเรือน โดยให้ทุกครอบครัวต้องมีสมาชิก อย่างน้อยหนึ่งคนที่เข้าฝึกวิธีการเข้าถึง พฤติกรรมที่น่าสงสัย

ภาพที่เห็นนี้คือการซ้อมให้ประชาชนสามารถร่วมกับเจ้าหน้าที่ ในการรับมือกับกรณีที่ผู้ก่อการร้ายสร้างเรื่องกลางเมือง

อีกด้านหนึ่ง ทางการจะให้ทุกเขตเลือกตั้งมีตัวแทน 300 คนมารับการฝึกทักษะช่วยชีวิต ปั๊มหัวใจ และการหัดใช้ apps ในมือถือสำหรับเหตุฉุกเฉินและเตือนภัยได้ทันท่วงที

นายกฯ สิงคโปร์ทำพิธีเปิดตัวโครงการ SGSecure เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาด้วยการตอกย้ำ ถึงความสำคัญที่ประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องเข้ามามีบทบาทร่วม ในการรณรงค์และฝึกฝนตนเอง ให้พร้อมรับการสถานการณ์การก่อการร้าย

โดยเน้นสามหลักการใหญ่ นั่นคือทุกคนต้องเรียนรู้วิธีการปกป้องตัวและและครอบครัว, ช่วยเหลือผู้อื่นในยามวิกฤตและผู้นำชุมชนต้องระดมพลังกัน เข้าช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในภาคส่วนนั้น ๆ

ไม่ว่าคุณจะมีบทบาทด้านไหนก็ตาม คุณก็กำลังปกปักรักษาสิงคโปร์ และวิถีชีวิตของคนสิงคโปร์พร้อมกันไปด้วย นายกฯป่าวประกาศให้คนทั้งประเทศได้รับทราบ

ประเทศจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ อยู่ที่ว่าหากเกิดเหตุร้ายแล้ว ประชาชนจะทำตัวอย่างไร... จะตอบสนองด้วยความกลัว หรือจะทำงานร่วมกันเพื่อข้ามพ้นภัยคุกคามนั้น

คำตอบที่ชัดเจนก็คือคนสิงคโปร์ทุกคน ต้องพร้อมจะลุกขึ้นร่วมกันทำในสิ่งที่ถูกต้อง สร้างความพร้อมเพรียงเพื่อตั้งรับกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

หลีเสี่ยนหลงต้องการจะปลุกเร้าให้คนสิงคโปร์ ยอมรับความจริงว่าเหตุก่อการร้ายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จะตั้งอยู่ในความประมาทไม่ได้ เพราะสัญญาณเตือนภัยและข่าวกรองยืนยันตรงกันว่าเรื่องร้าย ๆ อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

ผมขอบอกว่าการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายต่อเรานั้นจะเกิดขึ้นแน่ แต่เมื่อมันมา เราก็จะพร้อม... คือแนวทางการสร้างความพร้อมในหมู่ประชาชน ของเกาะสิงคโปร์ที่มีประชากร 5 ล้านคนแห่งนี้

เขาถึงขั้นระบุว่าเป้าของการก่อการร้าย น่าจะเป็นจุดที่ประชาชนใช้บริการหนาแน่น ในชีวิตประจำวันเช่นสถานีรถไฟใต้ดิน ศูนย์อาหารและศูนย์ช็อบปิ้งทั้งหลาย

นายกฯ ยกตัวอย่างว่าชาวบ้านทุกคน สามารถช่วยกันสกัดกั้นเหตุก่อการร้ายได้ จากกรณีที่ผู้ชายมาเลเซียคนหนึ่ง ป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง ที่สนามบินชางงีถึง 18 วันโดยใช้ boarding pass มือถือปลอม คนงานที่สนามบินเห็นผิดสังเกต แจ้งตำรวจก็จับผู้ต้องสงสัยคนนั้นได้

หลี่เสียนหลงบอกว่า “พวกเราทุกคนสามารถมีส่วนช่วยจับผู้ต้องสงสัยก่อเหตุร้าย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่หรือฝึกปรือเป็นพิเศษ แม้พนักงานผู้หญิงที่ทำงานอยู่ หากใช้สายตาสังเกตสิ่งผิดปกติ ก็สามารถจะสร้างความแตกต่างได้”

แปลว่าประชาชนทุกคนล้วนเป็นหูเป็นตาป้องกันเหตุร้ายได้ทั้งสิ้น

ผมเห็นโครงการใหม่ของสิงคโปร์เป็นตัวอย่างของการเตรียมพร้อม ระดมสรรพกำลังของประชาชน ให้เข้าร่วมป้องกันเหตุร้ายอย่างเป็นรูปธรรม เพราะในภาวะความแน่นอนสูง และแนวโน้มการก่อเหตุร้าย ที่เพิ่มความถี่และรุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้, ไม่มีประเทศไหนจะอ้างว่ารอดปลอดจากภัยร้ายได้เลย

ประเทศไทยก็มิได้เป็นข้อยกเว้นแน่นอน!