‘โควต้า’ ใน 250 ส.ว.สำหรับกลุ่มด้อยโอกาสทางการเมือง
ส.ว. 250 คน ที่กำลังจะได้รับการ”แต่งตั้ง” ในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนหนึ่งควรเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ควรมี
คนที่ควรได้ แต่ตกหล่นหายไปในการเมืองแบบ “เลือกตั้ง” ที่เคยๆมีมา ทั้งหมด 31 ครั้ง คือ เลือกตั้ง ส.ส. วาระละ 4 ปี 27 ครั้ง (เป็นโมฆะ 2 ครั้ง) และเลือกตั้ง ส.ว. วาระละ 6 ปี 4 ครั้ง
ตลอดมา กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่เรียกร้อง “โควต้า”หรือระบบสัดส่วน เสียงดังฟังชัดที่สุด ด้วยหลักการที่ว่าผู้หญิงมีมากเป็นครึ่งหนึ่งของประชากร แต่มีผู้แทนเป็นผู้หญิงน้อยมาก ประเด็นผู้หญิงต่างๆถูกละเลย
แต่ถ้าหากถือเอาประเด็นสาระและความด้อยโอกาสทางการเมืองแบบเลือกตั้ง (under representation in electoral politics) เป็นหลัก ไม่คำนึงเพียงปริมาณ ยังมีประชากรอีกหลายกลุ่ม หลายสถานภาพ ที่ควรได้รับ “โควต้า” เช่นกัน เช่น กลุ่มผู้พิการหรือทุพพลภาพ ชนกลุ่มน้อย กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มสูงวัยฯ
รวมไปถึงประเด็นอื่นๆที่ส่งผลกระทบถึงประชากรอีกมากมายหลายกลุ่ม แต่ตกหล่นไปในการเมืองแบบเลือกตั้ง
ในด้านเศรษฐกิจ เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้บริโภค ที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบท พลังงานฯ ในด้านศิลปะ-วัฒนธรรม เช่น การนำไปสู่ระดับ “สากล” นวัตกรรมต่างๆ การต่อยอด (ไม่เพียงอนุรักษ์)ศิลปะงานฝีมือพื้นบ้านฯ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสื่อ ปฏิรูประบบสุขภาพ ตลอดจนปฏิรูปด้านศาสนา เช่น หลักเกณฑ์ที่มาของทรัพย์สินแหล่งเงินสนับสนุนและรายได้ การสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ ฯ ตลอดจนประโยชน์ของประชาชนที่อาจขัดกับผลประโยชน์ของพรรคการเมืองที่สมคบกับนักธุรกิจใหญ่ และข้าราชการบางกลุ่ม เช่น เรื่องที่ดิน น้ำ ป่าไม้ การประมงฯ
กลุ่มบุคคลในภาคประชาสังคมทำงานประเด็นเหล่านี้ถ้าเป็นตัวจริง จะไม่วิ่งขาขวิดไปหานายกฯ หรือคณะกรรมการสรรหาใดๆ แต่เป็นหน้าที่ของนายกฯและคณะกรรมการสรรหาที่จะต้องมองหาสรรหากลั่นกรองให้พบซึ่งไม่น่าจะยากเกินกำลังของ คสช.
หากได้ตัวเลือกเป็นผู้หญิง เป็นชนกลุ่มน้อย เป็นผู้สูงวัย เป็นผู้พิการก็จะเป็นการยิงนกนัดเดียวได้ทีละสามสี่ตัวจะทำให้คณะ ส.ว. 250 คนเป็นที่ยอมรับของสาธารณชนมากขึ้นจากที่ถูกปรามาสว่าจะมีแต่พรรคพวกทหารและ”สั่ง”ได้
กลุ่มผู้หญิงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆในทางการเมืองการปกครองในโลกปัจจุบัน ผู้หญิงหลายคนที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เช่น รสนา โตสิตระกูล สารี อ๋องสมหวัง สมสุข บุญญะบัญชา ทิชา ณ นคร สุภัทรา นาคะผิว ฯ เคยได้รับเชิญมาร่วมทำงานในสมาชิกสภาปฏิรูปและกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถแต่งตั้งอีกได้ร่วมกับผู้หญิงอีกหลายคนที่น่าจะพิจารณา เช่น รตยา จันทร์เทียร
นอกจากกลุ่มผู้หญิงที่สมควรได้รับการแต่งตั้ง กลุ่มผู้หญิงในฐานะผู้ออกเสียงก็เป็น “พื้นที่” ทางการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงน่าสนใจในช่วง2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา
การที่ 15 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 5 จังหวัดในภาคเหนือ ซึ่งอยู่ในภาคเหนือตอนบนทั้งหมด (โดย 3 จังหวัดคือ เชียงใหม่ ลำพูนและเชียงรายติดอันดับห้าจังหวัดมีผู้มาออกเสียงมากที่สุด) และ 3 จังหวัดในภาคใต้เป็นจังหวัด “ไม่เห็นชอบ”ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ได้มีผู้ประดิษฐ์ชุดจำแนกประเภท (typology)ของผู้มาออกเสียงลงประชามติ 7 สิงหา ตามมิติต่างๆ เช่น ชาติพันธุ์ อุดมการณ์ เขตอำนาจของพรรคการเมือง ฯ แต่กระนั้น ก็ยังขาดมิติทางเพศ ทั้งๆที่น่ารู้อย่างยิ่งว่าเสียงผู้หญิงใน 23 จังหวัดนี้มีกี่เปอร์เซ็นต์ของผู้มาออกเสียงทั้งหมด โดยตามปกติ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศหญิงมีมากกว่าชายอยู่แล้ว
ใน 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ต้องนับว่าในทั้ง 3 ภาคดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนผ่านจิตสำนึกทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองอย่างมากและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดขบวนการสมัชชาคนจน ผู้หญิงมีบทบาทสูงมากไม่ว่าจะในท้องถิ่นและในการมาชุมนุมปักหลักยืดเยื้อที่กรุงเทพฯ
ในภาคเหนือเกิดขบวนการป่าชุมชนที่ทั้งหญิงและชายมีบทบาทคู่ขนานกัน
ในภาคใต้เกิดขบวนการประมงพื้นบ้านและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ขบวนการผู้หญิงเพื่อสันติภาพหยุดความรุนแรง เพิ่มพื้นที่ปลอดภัย เช่น บ้าน ตลาด โรงเรียน สถานศาสนา เป็นต้น
เทียบกับประชากรหญิงในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างซึ่งอยู่ในกลุ่มจังหวัดรับ ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ความเข้มข้นในการเปลี่ยนผ่านจิตสำนึกทางสังคมการเมืองมีมากกว่าอย่างแน่นอนในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนั้น ขบวนการประชาชนใน 3ภาคเหล่านี้มีการสื่อสารถึงกัน สร้างความเข้าใจร่วมกัน ตลอดจนมีการพบปะสนับสนุนในทางความคิดและปัจจัยร่วมกับกลุ่มผู้หญิงนักวิชาการนักกิจกรรมในเมืองหลวง เชื่อได้ว่าเกิดมีกลุ่มผู้หญิงจิตสำนึกใหม่ๆจำนวนหนึ่งในเมืองหลวง และจำนวนมากยิ่งกว่าในต่างจังหวัด
จากแต่ก่อนที่ผู้หญิงในต่างจังหวัดไม่ค่อยมีปากมีเสียง ไม่ค่อยกล้าแสดงตัวตนหรือความต้องการ มาเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ตื่นตัว ต้องการเรียนรู้ มีส่วนร่วมในชุมชนมากขึ้น กล้าแสดงตนเพื่อรักษาสิทธิพื้นฐานตามวิถีประชาธิปไตย ซึ่งการตื่นตัวและความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นอุปการะอย่างยิ่งต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย
รัฐบาลขณะนี้และพรรคการเมืองต้องสนใจว่าจะเสริมสร้างกลุ่มผู้หญิงดังกล่าวที่เป็น “จิตสำนึกใหม่” “ พื้นที่การเมืองใหม่” ทางการเมืองการปกครอง ให้เป็นผู้ออกเสียงมีคุณภาพยิ่งๆขึ้นต่อไปได้อย่างไร
ที่ผ่านมา บางพรรคการเมืองก็ได้เข้าถึงและสร้างอุดมการณ์ให้แล้วใน “พื้นที่ใหม่” ดังกล่าวซึ่งที่จริงก็ยังเปิดเสรีรับแนวคิดอุดมการณ์อื่นๆ สำคัญอยู่ที่รัฐบาลและพรรคการเมืองทั้งหลายจะให้ความสำคัญ พยายามเข้าถึงจิตสำนึกใหม่ของกลุ่มผู้หญิงที่ตื่นตัวแสวงหาการมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครองมากขึ้นอย่างมีความเข้าใจ ไม่ปิดกั้น กดทับ หรือลิดรอนสิทธิพื้นฐานทางความคิดและการแสดงออกในวิถีประชาธิปไตย
ยังเสียดายอย่างยิ่ง ที่การเก็บสถิติผู้มาออกเสียงประชามติ 7 สิงหา ไม่จำแนกเพศของผู้มาออกเสียง