คนไทยจะปรับตัวทันกระแส เปลี่ยนแปลงโลกได้ทันหรือ?
ภาพอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่
หุ่นยนต์จะมาแทนคนอย่างเป็นล่ำเป็นสันหรือไม่ และอนาคตอาชีพของคนในหลาย ๆ วงการจะเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังหรือไม่ เป็นหัวข้อที่ควรจะได้รับการวิเคราะห์ และสรุปทิศทางกันอย่างจริงจังในสังคมไทย
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีบทความที่น่าสนใจได้รับการส่งต่อไปอย่างกว้างขวาง เพื่อนของผมคนหนึ่งอ่านแล้วตกใจมาก เขียนมาถามว่า “มันจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หากคุณยังไม่ได้อ่านเรียงความบทนั้น ผมขอคัดย่อมาให้ได้อ่านก่อนจะบอกว่า ผมเชื่อว่าภาพอย่างนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
บางตอนของบทความนั้นบอกว่าอย่างนี้
“ในปี 1998 บริษัทโกดักมีพนักงาน 170,000 คนและมียอดขาย 85% ของกระดาษภาพถ่ายทั่วโลก
แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี รูปแบบธุรกิจของพวกเขาหายไป และต้องประสบกับภาวะล้มละลาย
สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทโกดักจะเกิดขึ้นอีก กับอีกหลายอุตสาหกรรมใน 10 ปีข้างหน้า
และคนส่วนใหญ่จะยังมองไม่เห็น
จะมีใครในปี 1998 ที่คาดคิดบ้างว่าอีก 3 ปีต่อมาคุณจะไม่ถ่ายภาพบนแผ่นฟิล์มกระดาษอีกต่อไป
กล้องดิจิทัลอันแรกที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1975 มีความละเอียดเพียง 10,000 พิกเซล
แต่ตามกฎของมัวร์ เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่สร้างความผิดหวังในตอนแรก และใช้เวลานานก่อนที่มันจะกลายเป็นความสำเร็จ และเป็นวิธีที่ดีกว่าในเวลาอันรวดเร็ว
มันจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับปัญญาประดิษฐ์(หุ่นยนต์), สุขภาพ, รถยนต์ไฟฟ้า, ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ,การศึกษา, เครื่องพิมพ์ 3 มิติ การเกษตรและการจ้างงาน
ขอต้อนรับเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 และต้อนรับสู่ยุคทวีคูณ
ซอฟต์แวร์จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมากที่สุดใน อีก 5-10 ปีข้างหน้า
Uber เป็นเพียงซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ใด ๆ แต่จะกลายเป็นบริษัท รถแท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Airbnb จะเป็นบริษัท โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใด ๆเลย
คอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (หุ่นยนต์) จะฉลาดขึ้นเป็นทวีคูณและมีความเข้าใจโลกดีกว่ามนุษย์
ในปีนี้คอมพิวเตอร์สามารถเอาชนะมนุษย์ในการเล่นเกมหมากรุกโกะ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ถึง10 ปี
ในสหรัฐอเมริกา ทนายความที่จบใหม่เริ่มตกงาน เพราะคอมพิวเตอร์ IBM Watson สามารถให้คำแนะนำด้านกฎหมายพื้นฐานได้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีและมีความแม่นยำถึง 90% เมื่อเทียบกับมนุษย์ที่มีความแม่นยำเพียง 70%
ดังนั้นถ้าคุณกำลังเรียนกฎหมายอยู่ก็เลิกได้เลย เพราะในอนาคต อาชีพทนายจะหายไปกว่า 90% เหลือแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเฉพาะด้านเท่านั้น
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์วัตสันได้เข้ามามีส่วนช่วยพยาบาล ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ถึง 4 เท่า
Facebook ขณะนี้มีซอฟต์แวร์ในการจดจำรูปแบบใบหน้ามนุษย์ที่เหนือกว่าคน
ในปี 2030 คอมพิวเตอร์จะเริ่มฉลาดกว่ามนุษย์
รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันแรกจะเผยโฉมต่อสาธารณชนในปี 2018
ประมาณปี 2020 อุตสาหกรรมรถยนต์จะล่มสลาย ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องมีรถยนต์เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เพราะเพียงแค่คุณโทรศัพท์เรียก รถแท็กซี่ก็จะมารับคุณในตำแหน่งที่คุณเรียก และส่งคุณไปยังจุดหมายปลายทาง โดยคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าที่จอดรถ แต่จ่ายเฉพาะค่ามิเตอร์ และยังสามารถทำงานไปด้วยในขณะเดินทางอีก ลูกๆของเราก็ไม่จำเป็นต้องสอบใบขับขี่หรือซื้อรถยนต์
ตัวเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะรถยนต์จะหายไปจากท้องถนนถึง 90-95% เราสามารถเปลี่ยนพื้นที่จอดรถให้กลายเป็นสวนสาธารณะได้
อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกปีละ 1.2 ล้านคนก็จะลดลง
รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะช่วยลดอุบัติเหตุทางจราจร จากหนึ่งรายต่อทุก 100,000 กม.เหลือเพียงหนึ่งรายต่อทุก 10 ล้านกม. ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียชีวิตมนุษย์ได้ปีละนับล้านคน
บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่จะประสบกับการล้มละลาย บริษัท รถยนต์ที่อนุรักษ์นิยมจะเพียงแค่พยายามพัฒนารถยนต์ของตนให้ดีขึ้นในขณะที่ บริษัท TECH (Tesla, Apple, Google) จะปฏิวัติการสร้างรถยนต์โดยใส่คอมพิวเตอร์ลงในล้อรถยนต์ ผมคุยกับวิศวกรจากโฟล์คสวาเกนและออดี้; พวกเขากลัวคู่แข่งอย่างเทสลามาก
รถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นรถยนต์กระแสหลักภายในปี 2020 เมืองก็จะมีเสียงดังหนวกหูลดลงเพราะรถทุกคันจะเป็นรถไฟฟ้า ราคาค่าไฟฟ้าก็จะถูกลงและเป็นพลังงานสะอาดอย่างเหลือเชื่อ : การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากใน 30 ปีที่ผ่านมา แต่คุณเพิ่งจะเห็นผลกระทบของมัน…”
อ่านบางตอนของบทความนี้แล้ว ผมเชื่อว่านี่คือแนวโน้มหลัก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น และหากใครปรับตัวไม่ทัน ก็จะหลุดจากวงโคจรของสังคมใหม่ และจะโทษใครไม่ได้
พรุ่งนี้ ลองอ่านอีกบางตอนของ “บทพยากรณ์อนาคตสังคมยุคดิจิทัล” ที่คนไทยต้องเตรียมการรับมือและปรับตัวครั้งใหญ่ต่อครับ