เศรษฐกิจเวเนซุเอลามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

เศรษฐกิจเวเนซุเอลามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

ปัญหาเศรษฐกิจของเวเนซุเอล่าดูเหมือนจะเข้าขั้นวิกฤติมากขึ้นทุกที ล่าสุดก็มีข่าวเรื่องที่รัฐบาลได้เทขายทองคำ

ที่เก็บไว้เพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศออกมา ซึ่งทาง IMF ได้ระบุว่าปริมาณทองคำสำรองของเวเนซุเอลาได้ลดลงไปแล้วประมาณ 16% ในช่วงไตรมาสแรกของปี ค.ศ.2016 นี้ และข่าวยังระบุต่อว่า ทางรองประธานาธิบดีมิกเกล เปเรส อาบาด ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้สินทรัพย์สำรองเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า เศรษฐกิจของเวเนซุเอลามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปดูภาพรวมเหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ในปี ค.ศ.2003 ประธานาธิบดีในขณะนั้นคือ Hugo Chavez ได้ออกมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินตราต่างประเทศเพื่อจัดการกับปัญหาการไหลออกของเงินทุนในขณะนั้น จากนั้นก็มีการประกาศลดค่าเงินในประเทศ (bolivars) หลายครั้ง และรวมถึงการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตราในเวลาเดียวกัน (multiple exchange rates) ด้วย ประเทศเวเนซุเอลาเริ่มมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่รุนแรงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา และเริ่มมีปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศที่รุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2014 เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงมาก จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ในรูปของเงินตราต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบคิดเป็นถึง 96% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ การใช้อัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตราก็เพื่อต้องการจะให้การอุดหนุนภาคการผลิต หรือกิจกรรมบางอย่างเป็นกรณีพิเศษ แต่ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะได้ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตเพื่อหาประโยชน์จากความต่างของอัตราแลกเปลี่ยนและปัญหาตลาดมืดตามมาด้วย

ตัวอย่างเช่น ก่อนปี ค.ศ.2015 นั้น เวเนซุเอลามีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ 3 อัตราด้วยกัน อัตราแลกเปลี่ยนอันแรกเรียกว่าอัตราแลกเปลี่ยนทางการ (official rate) ซึ่งเป็นอัตราที่กำหนดให้สกุลเงินในประเทศ (bolivars) มีค่าสูงกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเป็นอย่างมาก คือเท่ากับ 6.3bolivars ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะใช้สำหรับสินค้าที่รัฐบาลกำหนดว่าเป็นสินค้าที่จำเป็น จึงเท่ากับว่าเป็นการให้การอุดหนุนพิเศษแก่การนำเข้าสินค้าจำเป็นเหล่านั้นนั่นเอง เพราะสินค้านำเข้าที่จำเป็นเหล่านั้นจะมีราคาที่ถูกมากเมื่อคิดเป็นเงินสกุลในประเทศ ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่สองจะเรียกว่า SICAD 1 ซึ่งจะมีอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 12 bolivars ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐบาลก็จะอนุญาตให้สิทธิ์กับกิจการธุรกิจเฉพาะบางประเภทเท่านั้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่สามที่ใช้สำหรับบริษัทและผู้คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า SICAD 2 ซึ่งจะมีอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 50 bolivars ต่อดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในเดือนกุมภาภัพธ์ ปี ค.ศ. 2015 รัฐบาลก็ได้ทำการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ให้เหลือเพียงสองอัตราแลกเปลี่ยน โดยมีจุดประสงค์ที่จะลดปัญหาการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดมืด เพราะมีการทุจริตที่เกิดจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีอยู่เดิมก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม ในทางปฎิบัติ อัตราแลกเปลี่ยนทางการที่รัฐบาลกำหนดไว้ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติมากนัก เพราะปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนที่แลกได้จริงๆ ในระบบใหม่นี้ ในบางช่วงจึงอาจขยับไปอยู่สูงถึง 197 bolivars ต่อดอลลาร์สหรัฐ และในตลาดมืดก็จะมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 276 bolivars ต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น

นอกจากปัญหาความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนดัง ที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ ที่ผ่านมาในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่สูงนั้น รัฐบาลเวเนซุเอลาก็ได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาดอีกหลายประการ เช่น นโยบายที่มุ่งส่งเสริมให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการการผลิตหลายๆ ประเภทแทนภาคเอกชน อาทิ อุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ ปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมธนาคาร และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งก็เป็นสาเหตุนำไปสู่ปัญหาการผลิตและการให้บริการที่ขาดประสิทธิภาพเนื่องจากขาดแรงจูงใจในการแข่งขันนั่นเอง และกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในที่สุด

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีภาระเรื่องการใช้จ่ายในโครงการพัฒนาสังคมที่เป็นโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก แม้โครงการเหล่านี้จะได้มีส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาความยากจนและปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศได้ในระดับหนึ่ง และที่ผ่านมาก็ไม่เป็นภาระมากนักเพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงก็ตาม แต่ในภาวะปัจจุบัน ความจำเป็นดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นปัญหาทางเมืองที่จะต้องตัดสินใจว่า รัฐบาลจะเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องการจัดสรรความช่วยเหลือที่มีให้ได้อย่างจำกัดได้อย่างไรต่อไปโดยไม่ให้เกิดปัญหาหนี้รัฐที่พอกตัวมากจนเกินไป หากราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับต่ำเช่นในปัจจุบันไปอีกนาน    

การที่เศรษฐกิจของเวเนซุเอลามาถึงจุดนี้ได้นั้น นอกเหนือจากปัญหาต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ยังคงมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งก็คือ การคาดคิดไม่ถึงว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะมีวันที่จะปรับตัวลดลงต่ำได้เหมือนเช่นในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว ก็น่าจะถือได้ว่า เป็นการคาดการณ์ผิดของผู้คนทั่วโลกด้วยเช่นกัน เพราะหากใครไม่เชื่อแล้ว ก็สามารถลองย้อนกลับไปดูบทวิเคราะห์ภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ทั่วโลกเมื่อประมาณ 5-10 ปีที่แล้วดู ก็น่าจะเห็นภาพความเชื่อของผู้คนในขณะนั้นได้ชัดเจนขึ้น