จังหวัดจัดการตนเอง: นวัตกรรมของภาคประชาสังคม(2)

จังหวัดจัดการตนเอง: นวัตกรรมของภาคประชาสังคม(2)

กระแสการขับเคลื่อนของการจัดการตนเองหรือการกระจายอำนาจของไทยมีมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 2552 ได้เกิดวิกฤติทางการเมืองว่าด้วยเหลืองแดง จนเกิดการรวมตัวของเหลืองและแดงบางส่วนขึ้นมาเพื่อแก้ไขวิกฤติของเชียงใหม่ที่เกิดการปะทะกันจนทำให้เกิดปัญหาอย่างหนักกับเศรษฐกิจของเชียงใหม่ โดยร่วมกันวิเคราะห์เหตุของปัญหาว่าเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจการเมืองการปกครองและการตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการตัดสินในแก้ไขปัญหาของตนเอง จึงได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามเวทีต่างๆ อยู่เสมอ จวบจนเดือนมกราคม 2554 จึงได้มีการยกร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร บนพื้นฐานของสิทธิในการจัดการตนเอง และประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ ขึ้นมา

ประจวบเหมาะกับการที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานได้สรุปมติเมื่อ 18 เมษายน 2554 ว่าหากจะปฏิรูปประเทศไทยให้สำเร็จต้องยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคและปฏิรูปการจัดการเกี่ยวกับที่ดิน กระแสการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคจึงได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง แต่น่าเสียดายที่กระแสการปฏิรูปที่ดินกลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

หลังจากนั้นจังหวัดต่างๆ ซึ่งนับได้ 48 จังหวัดมีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อาทิ ปัตตานีมหานคร ระยองมหานคร ภูเก็ตมหานคร และในที่สุดคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้มีการแนวความคิดที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ.จังหวัดปกครองตนเอง เพื่อที่จะใช้เป็นกฎหมายกลางสำหรับทุกๆ จังหวัดที่จะได้ไม่ต้องไประดมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายแบบที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินการมา ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ของเชียงใหม่ ได้มีการยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วเมื่อ 26 ตุลาคม 2556 ที่ไปรับด้วยตนเองถึงเชียงใหม่ ในขณะที่รอเข้าบรรจุวาระต่อสภาผู้แทนราษฎรก็เกิดการยุบสภาและการยึดอำนาจขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้น เราจะหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วเสนอเข้าไปใหม่หรือยกร่างใหม่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าร่าง พ.ร.บ.จังหวัดปกครองตนเอง จะยังไม่ผ่านหรือร่างรัฐธรรมนูญจะยังไม่ได้บรรจุไว้ การขับเคลื่อนก็ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดประชุมสภาพลเมืองเชียงใหม่หรือเชียงราย การจัดเวทีแลกเปลี่ยนหรือสรุปบทเรียนต่างๆ

นวัตกรรมที่ใช้ในการขับเคลื่อน เป็นการขับเคลื่อนของจังหวัดจัดการตนเองที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จสูงและได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างแพร่หลายและรวดเร็วนั้น สามารถพิจารณาได้ ดังนี้

1) การขับเคลื่อนใช้รูปแบบการนำหมู่ขับเคลื่อนไปด้วยกัน ไม่มีแกนนำเดี่ยวหรือพระเอกที่จะขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ มีลักษณะที่สามารถทดแทนและสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน

2) การขับเคลื่อนใช้วิธีการรวมประเด็นย่อยทั้งหมดมาอยู่ในประเด็นใหญ่ คือการจัดการตนเอง เพราะในองคาพยพของเครือข่ายจังหวัดจัดการตนเองต่างมีเครือข่ายเชิงประเด็นเป็นแขนขา หากแต่ละเครือข่ายมุ่งเพียงประเด็นของตนเองย่อมยากที่จะผลักดันทั้งประเด็นรวม และประเด็นย่อยของตนเองได้

3) เป็นการรวมของผู้ที่มีความคิดทางการเมืองต่างขั้วแต่มีประเด็นร่วมกันคือการกระจายอำนาจ ฉะนั้น ในการขับเคลื่อนจึงมีการหลีกเลี่ยงหรือมีการถนอมน้ำใจกันและกันในเรื่องของความเห็นทางการเมือง

เพราะในเรื่องของโครงสร้างอำนาจในระดับบนมีข้อถกเถียงไม่เป็นข้อยุติ ยากที่จะเห็นพ้องร่วมกันได้ง่าย แต่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจนั้นทุกสีทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันเพราะเป็นสิทธิพื้นฐานในการจัดการเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ที่ทั่วโลกและองค์การสหประชาชาติให้การรับรอง และการกระจายอำนาจจะเป็นคำตอบของการปรองดองและสมานฉันท์ เพราะทุกฝ่ายทุกสีมีผลประโยชน์ร่วมกัน การริเริ่มของกระบวนขับเคลื่อนเชียงใหม่มหานครหรือเชียงใหม่จัดการตนเองนั้นได้เป็นตัวอย่างที่สถาบันการศึกษา สถาบันที่ทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ได้นำไปศึกษากันอย่างกว้างขวาง และมีผู้ศึกษาวิจัยได้ลงพื้นที่มาสัมภาษณ์สอบถามกันอยู่อย่างต่อเนื่อง

4) มีการยกร่าง พ.ร.บ.ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังมีการกำหนดกรอบระยะเวลาอย่างชัดเจน ทำให้การขับเคลื่อนมีพลังอย่างยิ่ง

5)  มีการใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ ควบคู่ไปกับการใช้รูปแบบดั้งเดิม คือการจัดเวทีเสวนา บรรยาย อภิปราย ระดมความเห็น

6) ด้รับการสนับสนุนจากสื่อเป็นอย่างดีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ อย่างแพร่หลาย

แนวร่วมมุมกลับ เนื่องเพราะความหวาดกลัวจนเกินกว่าเหตุของกลุ่มอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยที่เกรงว่าจะกระทบกับสถานภาพของตนเองได้พยายามออกมาต่อต้าน ซึ่งกลับกลายเป็นโอกาสที่เครือข่ายของการขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองได้มีโอกาสอธิบายและชี้แจงได้แพร่หลายในข้อสงสัยต่างๆ ที่เป็นการแบ่งแยกรัฐ การกระทบต่อความมั่นคง อีกทั้งรายได้ท้องถิ่นที่ยังไม่เพียงพอ หน่วยงาน อบจ. อบต.และเทศบาล จะมีอยู่หรือไม่ และจะดำเนินการให้ข้าราชส่วนภูมิภาคไปไว้ที่ไหน นายอำเภอจะยังมีอยู่หรือไม่ หรือเขตพื้นที่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จะหายไป กำนันผู้ใหญ่บ้านยังคงมีอยู่หรือไม่ หากยังคงมีอยู่จะมีบทบาทเป็นอย่างไร

ในขณะที่ประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอ นอกจากนี้บรรดานักเลงครองเมือง การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การทุจริตคอร์รัปชัน การเปลี่ยนโอนอำนาจ การกระทำผิดกฎหมาย นั้น โดยเพียงแต่พิมพ์คำว่า เชียงใหม่มหานคร หรือจังหวัดจัดการตนเอง หรือยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค โดยเข้าไปใน Google ก็จะพบคำอธิบายเหล่านี้

สรุป แม้ว่าในร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ได้มีการพูดถึงเรื่องของการปกครองตนเองไว้ในมาตรา 249 ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการขับเคลื่อนต่อ และไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้จะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ ช้าหรือเร็ว จังหวัดจัดการตนเองก็ต้องเกิดขึ้น