คำสั่งฟีฟ่า : ปัญหาและจุดเปลี่ยนแห่งวงการฟุตบอลไทย

คำสั่งฟีฟ่า : ปัญหาและจุดเปลี่ยนแห่งวงการฟุตบอลไทย

นับตั้งแต่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(ฟีฟ่า)มีคำสั่งถอดถอนคณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยและแต่งตั้ง

คณะกรรมการ “Normalisation Committee” หรือ คณะกรรมการกลางการเลือกตั้ง (ในที่นี่ขอเรียก  คณะกรรมการ NC) แทนที่ เมื่อวันที่  16 ตุลาคม 2558  ก็เริ่มส่อให้เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่คณะกรรมการ NC กำหนดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของสมาคมฟุตบอลฯในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ศกนี้ วงการฟุตบอลไทยก็เริ่มเข้าสู่ภาวะสับสนและขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัด จนหวั่นวิตกว่าอาจจะสร้างความเสียหายให้แก่วงการฟุตบอลไทยจนถึงขั้นเกิดวิกฤติครั้งใหญ่

ทั้งนี้ทั้งนั้น มีประเด็นสำคัญหลายๆประเด็นที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฟีฟ่า ที่ควรจะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้และชัดเจนเป็นที่สุด เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินความผิดถูก

หนึ่ง  ชื่อ “Normalisation Committee” สะท้อนให้เห็นว่า เกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นในกรณีของสมาคมฟุตบอลไทยฯ ดังนั้น ฟีฟ่าจึงต้องแต่งตั้งคณะกรรมการ NC ขึ้นมา เพื่อหาทางแก้ไข ฟื้นฟู และ normalise ทำให้สถานการณ์กลับคืนสู่จุดปกติ

แล้วเหตุการณ์ใดที่เข้าข่าย “ผิดปกติ” จนนำมาสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการ NC เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยครั้งนี้

แน่นอนที่สุดว่า การที่คณะกรรมการบริหารชุดเดิมพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่สุดแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติใดๆ แต่หากพิจารณาในหนังสือคำสั่งของฟีฟ่า การที่สมาคมฟุตบอลฯตัดสินใจเลื่อนการเลือกตั้งออกไปโดยไม่มีเหตุผลความจำเป็นอันควร (เช่นกรณีเกิดสงคราม มีการชุมนุมใหญ่ หรือมีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย  เป็นต้น) น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ฟีฟ่าตัดสินใจแทรกแซงในครั้งนี้

สอง ในหนังสือคำสั่งของฟีฟ่าได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ NCโดยระบุว่า “will include  revising the FAT electoral code and conducting the election of a new FAT executive committee by 15 February 2016 at the latest” ที่ดูเหมือนมีความชัดเจนในตัว แต่กลับมีการตีความคลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็นจริง จนนำไปสู่ความยุ่งยากยุ่งเหยิงสารพัน

ปฐมบทของความยุ่งยากเกิดขึ้นเนื่องจากมีการตีความบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ NC โดยละเลยหรือมองข้ามความหมายของคำว่า  “will include” แล้วสรุป(แบบถูกเพียงครึ่งหนึ่ง)ว่า คณะกรรมการ NC มีบทบาทหน้าที่เฉพาะการแก้ไขปรับเปลี่ยนกฏระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งและจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่เท่านั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่อื่นๆ นอกเหนือจากนี้

ในทางปฏิบัติแล้ว คำว่า “will include” ในที่นี้ควรจะหมายถึง “รวมทั้ง”  จึงจะถูกต้องที่สุด นั่นคือมีอำนาจหน้าที่อื่นๆด้วยแต่ฟีฟ่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ (เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเป็นปัญหา)  เหมือนเช่นกรณีของแกมเบียและมัลดีฟส์ ซึ่งฟีฟ่าไม่ได้ระบุในหนังสือคำสั่ง แต่คณะกรรมการ NCในทั้งสองประเทศก็รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่บริหารงานสมาคมฟุตบอลด้วย เพราะถือเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุด  โดยเฉพาะกรณีของมัลดีฟส์นั้น ปรากฏว่า คณะกรรมการ NC ก้าวล้ำจนถึงขั้นริเริ่มก่อตั้งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศเป็นครั้งแรกในปี 2558 ตลอดจนการเจรจาจัดหาสปอนเซอร์ด้วย เพื่อพัฒนาวงการลูกหนังในประเทศ จนกลายเป็นผลงานชิ้นเอก

ในทางตรงกันข้าม หากฟีฟ่าเข้าใจสังคมไทยมากกว่านี้และระบุเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนที่สุดในหนังสือคำสั่งให้คณะกรรมการ NC มีหน้าที่ดูแลและบริหารงานสมาคมฟุตบอลตั้งแต่แรก เหมือนกรณีของอินโดนิเซีย,เซียร์ราลีโอน, คาเมรูน, กิยานา รวมทั้งล่าสุด คือกรณีของฮอนดูรัสและกัวเตมาลา บางที วงการฟุตบอลไทยอาจจะไม่เกิดภาวะความยุ่งยากและความขัดแย้งเหมือนที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นได้

ความเข้าใจผิดในบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ NC ดังกล่าวตั้งแต่ต้นเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งก็ตาม กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ชื่อของคณะกรรมการ NC ถูกบิดเบือนให้มีศักดิ์และฐานะจำกัดเป็นเพียงแค่ “คณะกรรมการกลางการเลือกตั้ง” (และอีกหลายๆชื่อที่ใกล้เคียงจนสังคมสับสน) ในระนาบเดียวกับบทบาทและฐานะของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (Electoral Committee)  เมื่อคราวเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลฯครั้งล่าสุดในปี 2556  จนเรียกชื่อย่อ “กกต.” เหมือนกัน จะแตกต่างกันตรงคำว่า “กลาง” และชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้น

สาม ในเนื้อความของประกาศคำสั่ง ย่อหน้าที่ 2 ว่า “.... to remove the executive committee of the Football Association of Thailand (FAT) from office and to appoint a normalisation committee in its place” นั้น  ความสำคัญอยู่ที่คำว่า “remove from office” ตีความอย่างง่ายที่สุดก็คือ โยกย้ายหรือถอดถอน(คณะกรรมการบริหารชุดเดิม) ออกจากตำแหน่งหน้าที่(รักษาการ) เป็นการถาวร  เพราะในคำสั่งของฟีฟ่า ระบุให้ “appoint a normalisation committee in its place”  นั่นคือ แต่งตั้งคณะกรรมการ NC เข้าไปแทนที่ (in its place) ในตำแหน่งหน้าที่เดิมของคณะกรรมการบริหาร(ที่หมดวาระพอดี) ซึ่งเป็นไปตามกฎข้อบังคับของฟีฟ่ามาตรา 7 ย่อหน้า 2 ที่ว่า “replaced by a normalisation committee”

เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น ในย่อหน้าที่ 4 ประโยคที่ว่า “The decision to appoint a normalisation committee follows the fact that the FAT executive committee’s mandate had come to an end” คือบทสรุปที่ยืนยันได้ว่า วาระของคณะกรรมการบริหารชุดเดิมได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วอย่างสมบูรณ์ (ทั้งโดยกฎหมายไทยและโดยคำสั่งฟีฟ่า) การที่คณะกรรมการบริหารหมดวาระในวันเดียวกับที่ฟีฟ่ามีคำสั่ง แสดงให้เห็นว่า ฟีฟ่าไม่ประสงค์จะให้คณะกรรมการ บริหารชุดเดิมทำหน้าที่ “รักษาการ” ทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย

เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะตีความคำว่า “remove” หมายถึงปลดหรือถอดถอนหรือไม่ก็ตาม  แต่โดยนัยยะสำคัญของคำว่า  “in its place” และ “replaced” นั้น บ่งบอกว่า คณะกรรมการบริหารชุดเดิมทั้งหมด (ที่กำลังจะทำหน้าที่รักษาการนับตั้งแต่หมดวาระลงในวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปนั้น) ถูกแทนที่ด้วยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยฟีฟ่า หรือในอีกความหมายหนึ่ง คณะกรรมการ NC ได้เทคโอเวอร์สมาคมฟุตบอลฯตามคำสั่งของฟีฟ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลักฐานสำคัญสามประการที่สามารถยืนยัน ตอกย้ำและเป็นเกราะป้องกันความชอบธรรมที่สุดของคณะ กรรมการ NCได้แก่

หลักฐานชิ้นแรก ก็คือคำประกาศของฟีฟ่าทางเวบไซต์ในเดือนกรกฏาคม 2556 ว่า  “The normalisation committee will act as an electoral body, whose decisions will be final and binding”  เพื่อเป็นการยืนยันรับรองความชอบธรรมของคณะกรรมการ NC ว่ามีอำนาจหน้าที่เสมือนองค์กรหรือคณะกรรมการบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง การตัดสินใจใดๆของคณะกรรมการ NC จึงถือว่าเป็นเด็ดขาด (final) และมีผลผูกพัน(binding) บังคับใช้กับทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งถือว่าเป็นกฏข้อบังคับของฟีฟ่าที่ประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในบางครั้งอย่างเช่นกรณีของคาเมรูนและโตโก ฟีฟ่าก็ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อบังคับนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดพลิ้ว   แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าความชอบธรรมนี้จะไม่มีผลในกรณีของประเทศอื่นๆที่ฟีฟ่าไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือคำสั่งแต่งตั้ง (เหมือนเช่นกรณีบทบาทและอำนาจหน้าที่) แต่เป็นที่เข้าใจรับรู้ได้

หลักฐานชิ้นที่สอง ก็คือหนังสือจดหมายล่าสุดจากฟีฟ่าลงวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมาที่ตอกย้ำอย่างชัดเจนที่สุดอย่างชนิดที่ไม่สามารถตีความเป็นอื่นๆว่า คณะกรรมการ NC ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อแทนที่คณะกรรมการบริหาร(ชุดเดิม) นั้น มีอำนาจหน้าที่เต็มตามระเบียบข้อบังคับมาตรา 35 ของสมาคมฟุตบอลฯ (ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหาร)

ดังนั้น คณะกรรมการ NCชุดประวัติศาสตร์นี้ นอกจากจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการจัดการเลือกตั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่(อย่างที่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้)แล้ว  ยังมีฐานะเป็นคณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯที่ชอบธรรมอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง การที่เวบไซต์ของฟีฟ่า ณ ปัจจุบันนี้มีการอัพเดทประกาศชื่อ “MAHAROM Surawut” เป็น President จึงกลายเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่า ฟีฟ่าได้รับรองฐานะของ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ เป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เพียงแค่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการ NC และไม่ใช่ตำแหน่ง “รักษาการ” อย่างที่มีการเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นแล้ว กล่าวได้ว่า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์สวมหมวกทั้งสองใบ ทั้งในฐานะประธานคณะกรรมการ NC และในฐานะนายกสมาคมฟุตบอลฯ ที่มีผลนับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมเป็นต้นมา    

ในทางนิตินัย (ซึ่งถือว่าคำสั่งหรือระเบียบข้อบังคับของฟีฟ่าเปรียบเสมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญมีศักดิ์เหนือ กว่ากฎระเบียบภายในของประเทศสมาชิกที่มีฐานะเป็นเพียงกฏหมายลูก) จึงถือว่า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์(และคณะ)คือผู้มีอำนาจเต็มที่ชอบธรรมที่สุดในการตัดสินใจและกระทำการใดๆในนามของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น (เว้นแต่ฟีฟ่าและ/หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเซียจะมีคำสั่งอื่นเป็นการเฉพาะ)  มีอำนาจและความชอบธรรมที่จะนั่งทำงานหรือจัดประชุม ณ ที่ทำการของสมาคมฟุตบอลฯ (ณ สนามศุภชลาศัยไม่ใช่ที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย) รวมแม้กระทั่งสามารถแต่งตั้งเลขาธิการสมาคมฯคนใหม่ (แทนคนเก่าที่เพิ่งลาออก) เพื่อให้ทำหน้าที่หลักเป็น “พ่อบ้าน” ดูแลกิจการงานทั่วไปของสมาคมฯตามคำสั่งของนายกสมาคมฯ ตลอดจนช่วยบริหารจัดการการเลือกตั้ง จนกว่าจะได้คณะกรรมาการบริหารชุดใหม่ที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า

หากเปรียบเทียบแล้ว กรณีล่าสุดของคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญที่แต่งตั้งโดยกระทรวง ศึกษาธิการเมื่อเร็วๆนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างใกล้ตัวที่สามารถใช้เป็นแนวทางให้เทียบเคียงทั้งในแง่ฐานะ อำนาจหน้าที่และความชอบธรรมได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า วงการฟุตบอลไทยคงจะไม่เกิดปัญหาความยุ่งยากยุ่งเหยิง จนถึงขั้นเกิดกระแสหวั่นวิตกกว่าทีมชาติไทยจะถูกแบนหรือการแข่งขันภายในประเทศจะถูกห้าม เหมือนที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ หากว่า คณะกรรมการ NC ตระหนักในอำนาจหน้าที่และความชอบธรรมที่ฟีฟ่าสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมตั้งแต่เริ่มแรกและมีความประสงค์ที่จะใช้อำนาจหน้าที่และความชอบธรรมนี้อย่างเด็ดขาดเพื่อความถูกต้องและประโยชน์สูงสุดสำหรับเกมกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ

ณ เวลานี้ จึงขึ้นอยู่กับว่า คณะกรรมการ NC และหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะมีความคิด ความกล้าหาญและร่วมมือร่วมใจที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการลูกหนังไทยอย่างจริงๆจังๆ หรือไม่

เพื่อเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับวงการฟุตบอลไทยในโอกาสครบรอบหนึ่งศตวรรษพอดิบพอดี

 --------------------------

ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ

[email protected]