รัฐ-เอกชนผนึกขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

รัฐ-เอกชนผนึกขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงและทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ระบบนิเวศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จาก

สภาพลมฟ้าอากาศที่แปรปรวนอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลปี 2011 ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 45,913 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2) โดยประเทศที่มีการปล่อยมากที่สุด คือ จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย และรัสเซีย ขณะที่ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 350 MtCO2 คิดเป็นร้อยละ 1 ของทั่วโลก และมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขยายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 ในทุกๆ ปี

ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่พยายามหาทางรับมือ และช่วยลดปัญหาดังกล่าวนี้ให้ประสบความสำเร็จ โดยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 (CMP 11) ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไทยได้แสดงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ในการร่วมแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2573 ที่ร้อยละ 20-25

ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. กล่าวถึงในฐานะที่ อบก. เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินงานด้านลดก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายระดับประเทศ เพื่อดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน โดยเฉพาะภาคเอกชน ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศร่วมกันกับเรา และสามารถสร้างการรับรู้ไปถึงผู้บริโภคโดยตรงอีกด้วย

โดยที่ผ่านมามีบริษัทชั้นนำหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ได้สมัครใจเข้าร่วมโครงการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับทางอบก. หนึ่งในองค์กรเอกชนที่ร่วมโครงการกับเรามาตลอด อย่างเช่นบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ ที่ได้ร่วมดำเนินโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยจัดทำเครื่องมือแสดงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมนั้นๆ เป็นความตั้งใจในการนำผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากกว่า 50% ของกลุ่มอาหาร นอกจากนั้น ยังมีบริษัทชั้นนำในกลุ่มคมนาคม ธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจด้านความงามและอื่นๆ ที่มุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกันกับอบก. ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการนำประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อร่วมสร้างเส้นทางพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ของ อบก.แล้ว 1,744 ผลิตภัณฑ์จาก 405 บริษัท และผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนฉลากลดโลกร้อน 122 ผลิตภัณฑ์จาก 32 บริษัท ซึ่งปัจจุบันฉลากลดโลกร้อนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 877,893 ตัน นอกจากนี้อบก.ยังมีโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศ โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก

ในขณะเดียวกัน อบก.มีความมั่นใจว่าไทยสามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมายในปี 2030 ด้วยความพยายามและทุ่มเทของทุกภาคส่วนดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการใช้ “พลังงานหมุนเวียน” โดยเฉพาะพลังงานก๊าซชีวภาพทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับต้นๆ อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน

หากทุกภาคส่วนมีความตั้งใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการร่วมมือกันนำไทยสู่สังคมสีเขียวจะนำความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลับมาสู่ประเทศ ขณะเดียวกันยังนับเป็นการนำประเทศให้ก้าวสู่การเป็น “ประเทศคาร์บอนต่ำ” อย่างยั่งยืน

-----------------------

สัมพันธ์ บัวทอง