ทรัพย์สินทางปัญญา : อาวุธร้ายต่อไทยเข้าร่วมTPPจริงหรือ?

ทรัพย์สินทางปัญญา : อาวุธร้ายต่อไทยเข้าร่วมTPPจริงหรือ?

ความตกลงหุ้นส่วนแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnerships) หรือที่รู้จักกันในชื่อ TPP ซึ่งนำโดยประเทศมหาอำนาจ

อย่างสหรัฐอเมริกา และประกอบด้วยชาติสมาชิก ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และเวียดนาม ความตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อผ่านพ้น 60 วัน นับแต่วันที่ทั้ง 12 ประเทศได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของแต่ละประเทศ และได้ให้สัตยาบันครบทั้ง 12 ประเทศต่อประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รับสัตยาบันจากประเทศสมาชิกแล้วเท่านั้น หรือมีอย่างน้อย 6 ประเทศจาก 12 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 85 ของ GDP ทั้งหมดในปี 2556 ของประเทศสมาชิกได้ให้สัตยาบัน

นอกจากจะเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (Mega FTA) แล้ว TPP ยังมีความร่วมมือทางด้านอื่นๆ อีกหลายด้านด้วยกัน เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การทุจริตคอร์รัปชัน

ประเทศไทยแม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นการเข้าร่วม/ไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP ของไทย จากหลายๆ กลุ่มไม่ว่า จะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการในหลายๆ สาขาของไทย รวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างก็แสดงทัศนะที่แตกต่างกันออกไปต่อประเด็นดังกล่าวนี้ เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสียของการเข้าร่วม หรือไม่เข้าร่วม ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เป็นประเด็นหนึ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เพราะไทยอาจได้รับผลกระทบมากหากเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP ซึ่งความตกลง TPP อาจเป็นอาวุธร้ายที่จะมาประหัตประหารผู้ประกอบการไทยได้ เนื่องจากในความตกลงได้ขยายเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์ จาก 50 ปี เป็น 75 ปี และขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรยาออกเป็น 20 ปี โดยผู้ประกอบการไทยอาจต้องยอมเสียเงินจำนวนที่สูงขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ในการใช้สินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้

ในกรณีของสิทธิบัตร ผู้ถือสิทธิบัตรจากต่างประเทศที่ประสงค์จะใช้ประโยชน์จากสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตน จะต้องนำมายื่นคำขอ และจดทะเบียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาในไทยเสียก่อน ซึ่งคงไม่ต่างจากแนวทางปฏิบัติที่มีอยู่แล้ว แต่ที่แตกต่างออกไป น่าจะเป็นจำนวนผู้ยื่นคำขอ และจดทะเบียนที่มาจากประเทศสมาชิก โดยเฉพาะญี่ปุ่นและสหรัฐ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ

โดยในรอบ 10 ปีระหว่างปี 2548-2557 ญี่ปุ่นมีแนวโน้มการจดทะเบียนสิทธิบัตรในไทยมากขึ้น และในปีที่ผ่านมามีการจดสิทธิบัตรกว่า 1,200 รายการ ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสหรัฐตามมาเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุน FDI (Foreign Direct Investment) หรือการลงทุนโดยตรง จากต่างประเทศสูงสุดในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมภาคการผลิต เช่น สินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ หมวดยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ ซึ่งสินค้าและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าหลายรายการเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิบัตร

หากไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP ก็จะต้องคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสิทธิบัตรยา นอกจากนี้ความตกลงยังบังคับให้สมาชิกต้องมีการคุ้มครองข้อมูลของยาที่ทำจากสิ่งมีชีวิต หรือ Biologic Medicines เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จึงจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาชนิดนั้นๆ หรือเปิดให้ผู้ผลิตยารายอื่น เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาชนิดนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นระดับการคุ้มครองที่สูงกว่า เกณฑ์ของความตกลงทริปส์ (TRIPS) และขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในขณะที่สหรัฐต้องการคุ้มครองถึง 12 ปี ด้วยเหตุผลด้านแรงจูงใจในการผลิต และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ การลดการแข่งขันในอุตสาหกรรมยา และทำให้เกิดผู้ผูกขาด จนส่งผลให้ยามีราคาที่แพงขึ้น

ส่วนทรัพย์สินทางปัญญาอื่น อย่างกรณีเครื่องหมายการค้าก็จะต้องมีการยื่นคำขอจดทะเบียนเช่นเดียวกัน โดยประเทศที่น่าจะได้รับประโยชน์ตรงนี้ ได้แก่ ญี่ปุ่นและสหรัฐ ขณะที่ลิขสิทธิ์จำพวกงานเพลง ภาพยนตร์ หนังสือ ตำราเรียน งานศิลปะต่างๆ เหล่านี้จากประเทศสมาชิกก็จะได้รับการคุ้มครองที่ยาวนานขึ้นด้วย โดยที่งานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน อาศัยเพียงแต่การจดแจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อสำหรับเป็นข้อมูลทางสถิติ

เมื่อพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่ง หากไทยมีเป้าหมายที่จะมุ่งสู่การเป็นชาติการค้า หรือ Trading Nation ตามที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้า ที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของไทยกับนานาประเทศ และปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับการเข้าสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของผู้ประกอบการไทย โดยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ และแตกต่างจากสินค้าของประเทศคู่แข่ง ลดต้นทุนในการผลิต พัฒนาสินค้าโดยเฉพาะด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยการไปยื่นคำขอ และจดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่นๆ เสมือนเป็นการนำสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศ เพื่อนำรายได้กลับเข้าสู่ไทย

หากผู้ประกอบการไทยมีการพัฒนาการผลิตปรับปรุงสินค้าของตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยผ่านการคิดค้นนวัตกรรมมีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานที่ดีมีคุณภาพออกสู่ตลาดแล้ว ทรัพย์สินทางปัญญาก็คงจะไม่ใช่อาวุธร้ายที่คอยทำร้าย หรือทำอันตรายแก่ผู้ประกอบการไทยอีกต่อไป เมื่อเข้าสู่ตลาดของ TPP

-------------------------------

พนาทิตย์ เลิศประเสริฐกุล

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย