เจาะใจทูตจีน...มังกรมองไทย

เจาะใจทูตจีน...มังกรมองไทย

ผมนั่งสนทนากับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย หนิงฟู่ขุ่ย

 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าด้วยทุกประเด็นที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองประเทศ... ที่ท่านเน้นในตอนท้ายของการซักถามคือ การคบหากันระหว่างประเทศนั้นต้องมีทั้งเรื่อง ผลประโยชน์ และ คุณธรรม

ที่สำคัญคือจะต้องไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ความสัมพันธ์จึงจะราบรื่นและยั่งยืน

ผมคิดว่าในการพูดคุยที่ยาวกว่าหนึ่งชั่วโมงนั้น เห็นได้ชัดว่าท่านทูตต้องการจะสร้างผลงานของการประสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่น และการที่จีนจะทำอะไรร่วมกับไทยนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยเรียกร้องต้องการ ฝ่ายจีนไม่อาจยัดเยียดเฉพาะในสิ่งที่ตนต้องการได้

ยิ่งประเทศจีนยิ่งใหญ่ขึ้น มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จีนก็ยิ่งต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์และความรู้สึกของชาติต่าง ๆ ต่อจีน เพราะการเป็นมหาอำนาจนั้นจะจีรังยั่งยืนได้ต้องทำให้ประเทศอื่น ๆ เคารพนับถือและยำเกรงในบารมีเพราะความดีและความเผื่อแผ่สำหรับประเทศอื่น

จีนคงไม่ต้องการถูกประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะรอบ ๆ บ้านซุบซิบนินทาว่าพอใหญ่แล้วก็วางก้ามข่มเหงรังแกชาติที่เล็กกว่า หรือถูกมองว่าเอาเปรียบในการต่อรองเจรจา หรือไม่สนใจความรู้สึกของประเทศอื่น

โดยเฉพาะจีนคงไม่ต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านที่คบหาด้วยบอกว่าจีน เขี้ยว ในการเจรจากับประเทศอื่น ๆ

ดังนั้น ท่านทูตหนิงฟู่ขุ่ย จึงตอกย้ำในทุกหัวข้อของการสนทนาว่า จีนเคารพในการติดต่อไปมาหาสู่กับไทย ทำทุกอย่างต้องให้ได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศที่เรียกว่า วิน-วิน เสมอ

ผมถามเรื่อง One Belt, One Road ของจีน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟที่จีนจะมาช่วยสร้างในไทย, เรื่องการที่ไทยส่งคนจีนกลับประเทศ, จีนจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้อย่างไร โดยไม่ถูกมองว่าเป็นพี่เบิ้มที่ไม่ฟังเสียงน้อง ๆ, ตลอดไปถึงเรื่องอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มจะลดลงไปสู่แนวที่เรียกว่า New Normal และคำแนะนำสำหรับนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนในจีนที่เผชิญกับอุปสรรคไม่น้อย

วันเดียวกับที่ผมสัมภาษณ์ท่านทูตจีน ก็มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความกังวลในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาความล่าช้าในโครงการความร่วมมือลงทุนก่อสร้างรถไฟไทย-จีนเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ

ข่าวบอกว่านายกฯ ได้สอบถามว่าทำไมจึงไม่คืบหน้าทั้ง ๆ ที่ประชุมตัวแทนระหว่างรัฐบาลไทยและจีนไปแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้ ทำไมจึงยังไม่สามารถสรุปให้เริ่มก่อสร้างได้

รัฐมนตรีช่วยคมนาคมคุณ ออมสิน ชีวะพฤกษ์ บอกนักข่าวว่าหนึ่งในปัญหาที่ยังสรุปไม่ได้คือฝ่ายจีนเสนอมูลค่าโครงการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่ไทยเคยประเมินไว้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท

อีกประเด็นหนึ่งคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จีนเสนอมาที่ 2.5% ขณะที่ไทยขอให้อยู่ที่ไม่เกิน 2% (ขณะที่มีคนเอาไปเปรียบกับอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นในโครงการช่วยเหลือที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.5% หรือต่ำกว่านั้น)

ทูตหนิงฟู่ขุ่ยรู้ว่านี่เป็นประเด็นที่จะต้องตอบ จึงอธิบายว่า ความจริงถ้าแปลงเงินกู้ก้อนนี้ที่เป็นดอลลาร์เป็นเงินเยน อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 0.4% เท่านั้น และยืนยันว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนที่จีนไปแสวงหาจากแหล่งเงินทั่วโลก

แต่ท่านทูตก็ยืนยันว่า “ในฐานะเป็นเพื่อนและหุ้นส่วนกัน เราก็พร้อมจะฟังความเห็นของฝ่ายไทย และเราก็จะพิจารณาอย่างยืดหยุ่นได้...”

นี่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่ผมได้แลกเปลี่ยนกับท่านทูตจีน จะเข้าใจให้ลึกซึ้งได้ต้องฟังคำถามคำตอบและการซักถามระหว่างบรรทัดด้วย

จึงเชิญชวนให้ท่านชมรายการ Timeline Suthichai Yoon 22.30 น. วันเสาร์ และวันอาทิตย์นี้ ทาง Nation TV

ฟังความทุกด้านแล้วจะเข้าใจว่าทุกอย่างมีคำอธิบายของตนเอง.... อยู่ที่เราจะประเมินด้วยตนเอง ว่าอะไรเป็นประโยชน์กับคนไทยมากที่สุดเท่านั้น